นายอภิศักดิ์ กล่าวเพิ่มเติมว่า ยอมรับว่าในอดีตเมื่อเศรษฐกิจของไทยเติบโตกว่าร้อยละ 10  ผลักดันช่วยให้คนจนลดลงไปมาก แต่ช่วงหลายปีที่ผ่านมาเมื่อเศรษฐกิจไทยหยุดขยายตัวจึงทำให้คนจนกลับมาเพิ่มขึ้น  เมื่อรัฐบาลมีมาตรการช่วยเหลือเพิ่ม เช่นการลงทะเบียนสวัสดิการภาครัฐให้กับผู้มีรายได้น้อยเพื่อลดภาระค่าโดยสาร รถเมล์ รถไฟ  ค่าใช้จ่ายในชีวิตประจำวัน  ได้เตรียมเสนอคณะรัฐมนตรี (ครม.)ในเร็ว ๆนี้เพื่อดูแลผู้มีรายได้น้อยต่ำกว่าเส้นความยากจนรายได้ไม่เกิน 3 หมื่นบาทต่อปี  ขณะนี้กำลังพิจารณารายละเอียดเกี่ยวกับตัวชี้วัดเรื่องความยากจนให้ชัดเจน เบื้องต้นให้ทำบัญชีครัวเรือนโดยแบงก์รัฐได้ดำเนินการไปแล้วบางส่วน คาดว่าภายใน 2-3 ปีจะทำให้แก้ปัญหาความยากจนดีขึ้น ด้านดร.สมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่ากรณีจีดีพีไตรมาส 2 ขยายตัวร้อยละ 3.7   ถือเป็นตัวเลขที่น่าพอใจ คาดว่าในครึ่งปีหลังจีดีพีจะดีขึ้นต่อเนื่องจากปัจจัยการส่งออก การลงทุนเอกชน ท่องเที่ยว รายได้ภาคเกษตร  ยอมรับว่ารายจ่ายรัฐบาลชะลอลงไปบ้างแต่จะต้องหาแนวทางปั๊มขึ้นมาใหม่   นับว่าเศรษฐกิจไทยฟื้นตัวตามลำดับจึงต้องการให้ทุกภาคส่วนช่วยกันรักษาระดับการเติบโต เพื่อใช้โอกาสนี้ในการปฏิรูปประเทศทั้งเรื่องความยากจน ปัญหาเชิงโครงสร้างต้องช่วยกันทุกฝ่าย นายกอบศักดิ์ ภูตระกูล ผู้ช่วยรัฐมนตรี ประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่ารัฐบาลประเมินว่าเศรษฐกิจจะเติบโตร้อยละ 3.5-4 และเชื่อว่าทั้งปีนี้จะสามารถเติบโตได้ตามเป้าหมายเพราะเครื่องยนต์ขับเคลื่อนดีขึ้นทุกตัวทั้งการส่งออกที่เคยหายไป 5 ปี และกลับมาเป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญ การลงทุนเอกชนเริ่มเติบโตขึ้น ส่วนการลงทุนภาครัฐแม้ชะลอลงไปไม่ใช่ประเด็นน่ากังวลเพราะในครึ่งปีหลังจะเป็นช่วงที่มีโครงการภาครัฐเริ่มเดินหน้าซึ่งจะมีการเบิกจ่ายและลงทุนเพิ่มขึ้นมากกว่าครึ่งปีแรกแน่นอน  ส่วนที่ยังเป็นจุดอ่อนอยู่สำหรับเศรษฐกิจไทยตอนนี้เหลือเพียงกำลังซื้อของเศรษฐกิจระดับฐานรากที่ขึ้นอยู่กับราคาสินค้าเกษตรเป็นสำคัญ ซึ่งเชื่อว่าจะปรับตัวดีขึ้นต่อเนื่องตามสถานการณ์การส่งออกแต่ก็คงไม่ได้กลับไปสู่ระดับสูงสุดที่ราคายางพาราขึ้นไปอยู่ระดับสูงมาก ถ้าปรับขึ้นมาอยู่ที่ 70-80 บาทต่อกิโลกรัมก็เชื่อว่าจะดูแลเกษตรกรให้อยู่ได้