“สมคิด”เสนอตั้งกองทุนทุกคลัสเตอร์ หวังมีผู้ประกอบการทั่วประเทศใน 5 ปี

by ThaiQuote, 22 กันยายน 2560

ดร.สมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี เปิดเผยในงานดิจิทัลไทยแลนด์บิ๊กแบง 2017 ว่า ในปีนี้ มั่นใจว่าอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจ หรือจีดีพีจะขยายตัวสูงอย่างแน่นอน เห็นได้จากตัวเลขการส่งออกเดือนสิงหาคมที่กระทรวงพาณิชย์ได้ประกาศตัวเลขขยายตัวถึง 13.2% และเป็นตัวเลขที่สูงสุดในรอบเกือบ 5 ปี ดังนั้นเชื่อว่าธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) และสำนักงานพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) จะปรับประมาณการตัวเลขเศรษฐกิจเพิ่มขึ้นอย่างแน่นอน “คงไม่ต้องบอกว่าตัวเลขจีดีพีจะเป็นเท่าไหร่แต่มันดีแน่นอน และเราต้องเชื่อมั่นเดินหน้าไปด้วยกัน เพราะไม่มีอะไรที่น่ากลัวและต้องกังวลอีกแล้ว โดยมองว่าจากสิ่งที่รัฐบาลทำในช่วงที่ผ่านมาจะทำให้ตัวเลขเศรษฐกิจในไตรมาส 3-4 ดีขึ้นต่อเนื่อง และส่งผลให้ทั้งปีดีมากด้วย อย่างไรก็ตามแม้ว่าตัวเลขเศรษฐกิจจะขยายตัวดี แต่ยังมีสิ่งที่ไม่สบายใจและเป็นห่วง เพราะเรารู้ปัญหาว่าประเทศไทยมีปัญหาเรื่องความเหลื่อมล้ำ ซึ่งเป็นปัญหาเชิงโครงสร้าง ซึ่งไม่ได้รับการแก้ไขเลยในช่วงเวลาที่ผ่านมาไม่ว่ารัฐบาลใด” ดร.สมคิด กล่าว สำหรับสิ่งที่ต้องเร่งดำเนินการจะมีทั้งระยะสั้นและระยะยาว เช่น ระยะสั้นและเร่งด่วนคือการช่วยเหลือผู้มีรายได้น้อย ซึ่งมีรายได้ต่ำกว่า 30,000 บาทต่อปีที่ต้องได้รับการบรรเทาอย่างรวดเร็ว ภายใต้โครงการสวัสดิการผู้มีรายได้น้อย รวมถึงกลุ่มที่มีรายได้ไม่เกิน 100,000 บาทต่อปีด้วย ขณะที่ประชาชนในกลุ่มอื่นจะสร้างการเติบโตในระยะยาวได้อย่างไร เนื่องจากจะพึ่งพาการส่งออกอย่างเดียวไม่ได้ สิ่งที่จะต้องเร่งดำเนินการคือการพัฒนาผลิตผลจากภายในประเทศทั้งเรื่องการสร้างชุมชนให้เข้มแข็ง การนำการท่องเที่ยวกระจายไปสู่ชุมชน เพื่อหาช่องทางในรูปแบบใหม่ เปลี่ยนแปลงโครงสร้างแบบเดิม เป็นต้น ขณะที่ในภาคเกษตรจะต้องเปลี่ยนแปลง ยกระดับคุณภาพของสินค้า ไม่ว่าจะเป็นเรื่องข้าว ยางพารา เป็นต้น โดยการนำเรื่องเทคโนโลยีดิจิทัลเข้ามาใช้ เนื่องจากหากยังทำในรูปแบบเดิม และหวังการช่วยเหลือจากนโยบายของภาครัฐแบบที่ผ่านมา เช่นนโยบายจำนำข้าวซึ่งเป็นการช่วยเหลือและบรรเทาความเดือดร้อนระยะสั้นเท่านั้น จะทำให้อยู่รอดไม่ได้ในระยะยาว “สิ่งสำคัญในระยะต่อไปคือการสร้างเศรษฐกิจที่เติบโตจากภายใน ไม่ใช่จากการส่งออกอย่างเดียว แม้ว่าเราจะยินดีที่ส่งออกขยายตัวสูงแต่เมื่อมองไปที่กลุ่มอื่น ๆยังรู้สึกว่าเศรษฐกิจยังไม่เติบโต เพราะทุกอย่างมันไม่ได้นำไปสู่การเติบโตแบบขยายวงกว้าง เนื่องจากประเทศไทยยังมีปัญหาที่น่าห่วงคือความเหลื่อมล้ำ ดังนั้นรัฐบาล เอกชน ประชาชน มหาวิทยาลัยจะต้องร่วมกันแก้ไขปัญหาในเรื่องนี้” ดร.สมคิด กล่าว ทั้งนี้กระทรวงดิจิทัลเศรษฐกิจและสังคม หรือ DE จะต้องเป็นหน่วยงานตั้งต้นที่สำคัญเพื่อเปลี่ยนผ่านประเทศไทยไปสู่ยุคดิจิทัลให้ได้ ซึ่งอยากฝากให้รัฐมนตรีประจำกระทรวงไปเร่งดำเนินการเพราะเรื่องดิจิทัลที่ก้าวเข้ามาสู่ประเทศไทยนั้นเป็นสิ่งที่น่ากลัว เพราะคนไทยไม่เคยตื่นตัวในเรื่องดังกล่าวเลยโดยสิ่งที่ต้องดำเนินการ เช่นการเร่งขยายโครงข่ายอินเทอร์เน็ตบรอดแบรนด์ให้เข้าถึงทุกหมู่บ้าน หรือโครงการเน็ตประชารัฐซึ่งจะเป็นการลงทุนเพื่อให้เกิดการต่อยอดการใช้ประโยชน์ทางด้านเศรษฐกิจ การศึกษา สังคม และสาธารณสุข โดยหวังว่าในสิ้นปี 2561 จะมีอินเทอร์เน็ตบอร์ดแบรนด์ทั่วประเทศ 74,965 หมู่บ้าน ขณะที่สิ้นปีนี้จะขยายบอร์ดแบรนด์และติดตั้งจุดกระจายสัญญาณ ฟรีไวไฟ หมู่บ้านละ 1 จุด ตามที่ประชาคมหมู่บ้านเป็นผู้กำหนด เพื่อให้บริการฟรี ครอบคลุม 24,700 หมู่บ้าน “การลงทุนเน็ตประชารัฐของประเทศไม่ใช่การเห็นไวไฟครบทุกจุด แต่สิ่งสำคัญคือการลงทุนจะต้องไม่สูญเปล่า จะต้องมีการใช้งาน มีกิจกรรมเข้ามาเพิ่มมูลค่าให้เกิดขึ้นถึงจะเรียกว่าได้ประโยชน์จากการลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน” ดร.สมคิด กล่าว ขณะเดียวกันประเทศไทยที่มุ่งสู่ความเป็น ศูนย์กลางการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตของภูมิภาคอาเซียน โดยลงทุนขยายการเชื่อมโครงข่ายอินเทอร์เน็ตระหว่างประเทศ เพื่อสร้าง digital infrastructure เชื่อมโยงกับโลก เนื่องจากประเทศไทยถือเป็นศูนย์กลางการเชื่อมเส้นทางอื่น ๆที่สำคัญ ทั้ง One-blet-one-Road ของจีน ดังนั้นการเร่งดำเนินการสร้างโครงข่ายดังกล่าวคงไม่ใช่เรื่องยาก แต่ทั้งนี้กระทรวง DE จะต้องเป็นคนคิดโครงการเพื่อนำไปสู่กระทรวงอื่น ๆ นอกจากนี้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ทั้ง TOT และ CAT จะต้องมาดูงานไทยแลนด์บิ๊กแบงในครั้งนี้ เพราะถือว่าเป็นครั้งสำคัญที่จะนำไปสู่การเปลี่ยนแปลง “งานนี้ผู้บริหารที่เกี่ยวข้องควรจะมาอย่างเช่น DE ควรจดชื่อหน่วยงานของท่าน หากผู้บริหารยังไม่มางานนี้ที่เราพยายามผลักดัน Go Digital และจะเข้าใจได้อย่างไร ดังนั้นให้เช็ครายชื่อเลย ทั้ง TOT CAT หากผู้บริหารไม่มาในวันนี้ก็อย่าหวังจะเป็นผู้บริหาร” ขณะที่กระทรวงอุตสาหกรรมได้ประชุมเพื่อจัดตั้งคลัสเตอร์ไบโอโลจี ซึ่งจะทำให้เกิดนวัตกรรมใหม่ เปลี่ยนเป็นธุรกิจเริ่มต้นต่อ และจะร่วมผลักดันให้เกิดการระดมทุนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย หรือ ตลท.ในอนาคตด้วย  นอกจากนี้ได้หารือกับ “นายศุภชัย เจียรวนนท์” ประธานคณะผู้บริหารเครือเจริญโภคภัณฑ์ และประธานคณะกรรมการบริหารทรู คอปอเรชั่น เพื่อร่วมผลักดันกลุ่มคลัสเตอร์ใหม่ๆ โดยจะจัดตั้งกองทุนแต่ละคลัสเตอร์เพื่อให้ประชาชนร่วมลงทุนกับภาครัฐได้ โดยหวังว่าประเทศไทยจะมีผู้ประกอบการเต็มทุกพื้นที่ เพื่อแข่งกับบริษัทขนาดใหญ่กว่า 500 บริษัทที่อยู่ในตลาดหลักทรัพย์ปัจจุบัน “ทุกสิ่งเป็นจินตนาการที่เราหวังว่าจะมีสตาร์อัพเนชั่นที่แท้จริง เราต้องการให้มีผู้ประกอบการเต็มพื้นที่ใน 5 ปีข้างหน้า เราจะต้องมุ่งมั่นให้เกิดขึ้นและมีการสร้างอาคาร Digital Park ThaiLand โดยขอคณะรัฐมนตรีหรือครม.เห็นชอบต่อไปเพื่อให้เริ่มดำเนินโครงการได้ทันทีในปี 2561 เพื่อทำหน้าที่พัฒนานวัตกรรมที่จำเป็น ให้บริการโครงสร้างพื้นฐานและเครื่องมือสำหรับสร้างสรรค์นวัตกรรม โดยก่อนจะไปจุดดังกล่าวทั้ง TOT CAT จะต้องทำเป็นตัวอย่างให้เกิดขึ้นอย่างเป็นรูปธรรม โดยเฉพาะการเชื่อมโยงเครือข่ายข้อมูลในรอบด้าน ครอบคลุมเช่นเดียวกับบริษัทขนาดใหญ่ หรือ TRUE ที่ในปีหน้านี้จะเห็นการเชื่อมโยงขอ้มูลได้ครบทุกรูปแบบ ซึ่งถือเป็นการนำระบบ big data มาใช้ในการทำธุรกิจ” ดร.สมคิด กล่าว อย่างไรก็ตามดร.สมคิด ยังได้กล่าวต่อว่าเบื้องต้นได้หารือกับพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีประชุมนัดพิเศษ เพื่อให้ทุกกระทรวงนำเสนอว่าจะนำพากระทรวง หน่วยงานรับผิดชอบเข้าสู่ยุคดิจิทัลได้อย่างไร รวมถึงจะนำเทคโนโลยีด้าน big data ในรูปแบบใดบ้าง โดยจะให้รายงานความคืบหน้าภายใน 3-6 เดือน

Tag :