“สมคิด”ย้ำ” “ไทยยังเนื้อหอม พร้อมเดินหน้าสู่ศูนย์กลางอาเซียน (ตอนที่ 1)

by ThaiQuote, 4 ธันวาคม 2558

“สมคิด”ย้ำ” “ไทยยังเนื้อหอม พร้อมเดินหน้าสู่ศูนย์กลางอาเซียน  (ตอนที่ 1)

“ผมดีใจมากเลยว่าผมได้ยินนักธุรกิจที่คุมหอการค้าทั้งหมดของประเทศนี่ให้สัญญาเพื่อปฏิญญาอุดรว่าจะร่วมกันขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยให้โตให้ได้ 4 % ในปีหน้า แปลว่าขณะนี้ประเทศไทยนั้นกลับมามีเอกภาพอีกครั้งหนึ่ง”

 

บรรยากาศงานกาลาดินเนอร์ซึ่งจัดขึ้นโดยวิทยาลัยป้องกันราชอาณาจักร (วปอ.) รุ่น 2552 ที่มี “บิ๊กติ๊ก” พล.อ.ปรีชา จันทร์โอชา ปลัดกระทรวงกลาโหม เป็นประธาน ในช่วงค่ำคืนของวันที่ 2 ธ.ค. ณ ห้องคอนเวนชั่น โรงแรมเซนทาราแกรนด์ แอท เซ็นทรัลเวิลด์ ราชประสงค์ ว่ากันว่านอกจากแขกเหรื่อทั้งที่เป็นนักศึกษาวปอ.และบรรดาทูตานุทูตจะได้ลิ้มรสอาหารดี ดนตรีไพเราะแล้ว ที่ถือเป็นสุดยอดของการจัดงานในวันนั้นเห็นจะเป็นการได้มีโอกาสฟังปาฐกถาจากขุนพลเศรษฐกิจในรัฐบาล “พล.อ.ประยุทธ์” อย่าง ดร.สมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี ภายใต้หัวข้อที่ว่า “รุก – รับอย่างไรให้เศรษฐกิจไทย.....สู้ได้ในเวทีโลก”ถือเป็นค่ำคืนที่แสนวิเศษและมีความหมายยิ่งเพราะปาฐกถาในวันนั้นล้วนเต็มไปด้วยสาระที่น่าสนใจสมกับชื่อหัวข้อที่ตั้งขึ้นอย่างแท้จริง ส่วนรายละเอียดของคำปาฐกถาจะเป็นเช่นไรต้องติดตาม   

                ท่านปลัดกระทรวงกลาโหม ท่านคณะทูตานุทูต ท่านคณะกรรมการจัดงานและแขกผู้มีเกียรติที่เคารพทุกท่าน ต้องขอขอบพระคุณที่ให้เกียรติเชิญมาร่วมงานในวันนี้ ครั้งนี้ถือเป็นครั้งที่ 2 ที่ผมมีโอกาสได้กลับมาทำงานการเมือง ผมเคยกล่าวกับเพื่อน ๆว่าปกติแล้วคนที่มีโอกาสกลับมาทำการเมืองนี่ส่วนใหญ่ก็ภายในเวลาใกล้เคียงกัน แต่สำหรับผมนี่มันเว้นไปประมาณ 10 ปีถึงจะกลับมาใหม่ ก็บอกเพื่อน ๆว่าคงเป็นเพราะว่าในสมัยที่เรายังเป็นเด็กอยู่นั้น ผมจำได้ว่าตอนที่ไปสอบชิงทุนรัฐบาลไปเรียนต่อ ผมได้ไปกราบอนุสาวรีย์ของเสด็จกรมหลวงชุมพรฯตรงข้ามก.พ.ว่า ถ้าลูกช้างมีโอกาสได้ร่ำเรียนต่างประเทศสอบชิงทุนได้เพราะลูกช้างไม่ค่อยมีตังค์อยู่แล้วที่บ้านก็อยากจะเรียนต่อ ถ้ามีโอกาสได้ไปเรียนกลับมาก็สัญญาว่าจะรับใช้บ้านเมืองเต็มที่นะครับ วันนั้นผมเข้าใจว่าผมคงอธิษฐานดังไปหน่อย ท่านก็เลยให้ผมมาสองรอบ แต่รอบที่สองนี้มาในขณะที่ผมอายุเริ่มเกินเลขหก กำลังวังชาก็น้อยลงไปแต่งานมันหนักเท่าเดิมนะครับ ก็จะพยายามทำงานเพื่อให้บ้านเมืองมันดีขึ้นนะครับ

                หัวข้อในวันนี้ที่ตั้งมานี่พูดยากนะครับ ที่พูดยากเพราะว่าต้องมาบรรยายต่อหน้าทูตานุทูตจากหลายประเทศ ทั้งอเมริกา จีน รัสเซีย อังกฤษ ฉะนั้นการบรรยายต้องระมัดระวังมากไม่เช่นนั้นจะกระทบกระเทือนความสัมพันธ์ระหว่างกัน ในขณะเดียวกันหัวข้อก็บอกว่าจะรุกจะรับอย่างไรเศรษฐกิจไทยถึงจะไปโลดได้ อันนี้บางทีมันก็เป็นความลับแต่มาพูดในท่ามกลางของทูตานุทูต ความลับมันก็ต้องเปิดหมดนะครับ ฉะนั้นหัวข้อนี้พูดลำบากนิดแต่ผมก็คิดว่าผมมีแต่เพื่อนนะครับ ทูตานุทูตทั้งหลายก็เป็นเพื่อนของผม วันนี้ก็เพิ่งจะพบกับทูตอังกฤษ วานซืนก็พบกับทูตรัสเซีย พบทูตจีนนะครับ ฉะนั้นระหว่างเรานั้นไม่มีความลับระหว่างกัน

                ท่านผู้มีเกียรติครับผมเพิ่งกลับมาจากประเทศญี่ปุ่น ท่านนายกฯมีบัญชาส่งให้ผมไปด้วยภารกิจ 2 ประการ ประการที่ 1 ก็คือไปร่วมประชุมสองฝ่ายซึ่งญี่ปุ่นไม่เคยจัดให้ใครมาก่อน ปกติแล้วการพบปะผู้ใหญ่ของญี่ปุ่นนั้นจะเป็นลักษณะกระทรวงต่อกระทรวงหรือรองนายกฯกับรองนายกฯ รัฐมนตรีกับรัฐมนตรีแต่ครั้งนี้ผมได้บอกกับทางผู้ใหญ่ของญี่ปุ่นว่าการประชุมในลักษณะหุ้นส่วนเศรษฐกิจนี่มันจะต้องไม่ใช่แค่พูดเรื่องการค้าหรือการลงทุน แต่มันจะต้องเป็นการคุยกันในหลาย ๆมิติของความร่วมมือเป็นหุ้นส่วนเศรษฐกิจซึ่งกันและกัน ฉะนั้นการประชุมที่จะเกิดผลประโยชน์สูงสุดนั้นควรอย่างยิ่งที่จะเป็นการประชุมร่วมโดยที่มีรัฐมนตรีหลาย ๆ คนอยู่ด้วยกัน จะได้พูดจาพร้อม ๆ กันมีอะไรจะได้หารือร่วมกัน คำขอร้องของผมนั้นได้ผลนะครับ ครั้งนี้ญี่ปุ่นจัดให้เป็นพิเศษมีเลขาฯครม.เป็นประธานมีรัฐมนตรีที่เข้าร่วมอยู่ประมาณ 3-4 ท่านแล้วก็ได้มีโอกาสไปพบปะกับท่านนายกรัฐมนตรีอาเบะ การประชุมทั้งหมดนี้นี่ผมอยากจะกราบเรียนว่าเป็นนิมิตรหมายที่ดีมากเพราะว่าญี่ปุ่นนั้นก็ยังแสดงความมั่นใจอย่างเต็มที่กับประเทศไทย การลงทุนของญี่ปุ่นนั้นสูงถึง 40 % ของการลงทุนรวมของประเทศทั้งหมด ฉะนั้นการที่ได้รับการตอบสนองจากญี่ปุ่นดีเท่าที่ควรนี่ผมอยากจะเรียนได้เลยว่ามันสร้างความมั่นใจให้กับเรามากว่าถึงแม้ว่าในช่วงที่ผ่านมามันจะมีเหตุการณ์เกิดในเมืองไทยหลาย ๆ อย่างก็ตาม แต่ว่าประเทศไทยนั้นยังมีคุณค่ายังมีความสำคัญที่ไม่ได้ลดหย่อนไปเลย

ภารกิจที่ 2 ที่ผมไปนั้นนี่คือไปบอกเล่าให้กับนักลงทุนของญี่ปุ่นฟัง ผมได้มีโอกาพบปะกับบริษัทยักษ์ใหญ่ญี่ปุ่นนี่ประมาณ 80 ถึง 100 บริษัทและคนที่มานั่งพูดคุยกันนั้นเป็นระดับเพรสซิเดนท์หรือแชร์แมนของบริษัททั้งสิ้น ได้มีการแลกเปลี่ยนความเห็นซึงกันและกัน ได้มีการพูดถึงปัญหาที่เกิดขึ้น ทุกอย่างเป็นไปด้วยดี แล้วก็ได้มีโอกาสไปบรรยายให้กับนักลงทุนประมาณเกือบพันคนซึ่งเป็นเน็ตเวิร์คที่ขอกับบีโอไอ ฉะนั้นการได้ไปในครั้งนี้ผมถือว่าเป็นนิมิตรหมายที่ดีว่าความพยายามของฯพณฯนายกรัฐมนตรีที่พยายามบอกเล่าให้ต่างประเทศฟังว่าประเทศไทยนั้นเป็นอย่างไร เรามีปัญหาอะไร ทำไมถึงต้องมีการปฏิวัติ ทำไมถึงจะต้องมีรัฐบาลระหว่างกลาง สิ่งเหล่านี้ทางการญี่ปุ่นเข้าใจดีและไม่เคยถามแม้แต่คำเดียวว่าทำไมคุณถึงต้องปฏิวัติ เขาถามคำเดียวว่าจะเลือกตั้งเมื่อไหร่ แล้วระยะเวลาจากวันนี้ถึงวันนั้นเราจะทำอะไร เพราะเขามีความเชื่อใจในคนไทยว่าประเทศไทยนั้นเป็นประเทศที่นิยมระบอบประชาธิปไตย เราไม่มีระบอบอื่น แต่ในบางครั้งประชาธิปไตยนั้นอาจจะต้องสะดุดไปบ้างเพราะว่าถ้าหากดำเนินปกติต่อไปแล้วสังคมอยู่ไม่ได้ แล้วอย่างน้อยที่สุดญี่ปุ่นเข้าใจ แล้วผมก็หวังอย่างยิ่งว่าประเทศอื่น ๆก็จะเข้าใจด้วยครับ

หลังจากที่ประชุมเสร็จแล้วเดินทางกลับมา วันรุ่งขึ้นผมบินไปต่อที่จ.อุดรธานีในงานสัมมนาของหอการค้าทั่วประเทศ ผมดีใจมากเลยว่าผมได้ยินนักธุรกิจที่คุมหอการค้าทั้งหมดของประเทศนี่ให้สัญญาเพื่อปฏิญญาอุดรว่าจะร่วมกันขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยให้โตให้ได้ 4 % ในปีหน้า แปลว่าขณะนี้ประเทศไทยนั้นกลับมามีเอกภาพอีกครั้งหนึ่ง ซึ่งเป็นสิ่งที่น่ายินดีนะครับ

เรื่องราวของปาฐกถายังไม่จบ ต้องอดใจไว้รอติดตามกันต่อในตอนหน้า รับประกันว่าเรื่องราวที่ปรากฏถือเป็นสุดยอมแห่งปาฐกถาชิ้นสำคัญที่น่าสนใจและติดตามอย่างแน่นอน

ที่มา : thaiquote