‘พุทธทาสภิกขุ’ แนะ สอนเด็กอย่างไรให้มีคุณธรรม

by ThaiQuote, 6 มิถุนายน 2560

ท่าน ‘พุทธทาสภิกขุ’ เคยเทศน์เตือนสติคนเป็นพ่อเป็นแม่ว่า เด็กชนิดไหนที่เราต้องการคำว่า ‘เด็กในวันนี้คือผู้ใหญ่ในวันหน้า’ มันไม่มีความหมายอะไร ใคร ๆก็มองเห็น ขอให้มองเห็นให้ลึกกว่านั้นว่าเด็กคืออะไร ควรจะมองกันให้ไกลจนถึงว่า ‘เด็กเป็นผู้สร้างโลกในอนาคต’ ถ้าเด็กของเราเป็นอย่างไรโลกในอนาคตก็จะเป็นอย่างนั้นไม่ต้องสงสัย ฉะนั้นเราสร้างโลกในอนาคตได้โดยการสร้างเด็ก จงสร้างเด็กให้ดี เหมาะสำหรับที่จะไปสร้างโลกให้ถูกต้อง งดงาม ที่ผ่านมาเราปล่อยให้เด็กเดินไปในฝ่ายกิเลส ไม่มีอะไรควบคุม เพราะเด็ก ๆได้รับการดูแลอย่างดี เด็กชอบกินอะไร ชอบเล่นอะไร พ่อแม่มีแต่สนองให้ เสนอให้ จึงเกิดความเข้าใจผิดว่าพ่อแม่นี้คือผู้จะต้องสนองความต้องการให้แก่เรา ฉะนั้นเราเรียกร้องเอาตามพอใจ ฝ่ายพ่อแม่ก็เหมือนกัน ไม่ได้มีความรู้สึกอะไรนอกจากความรัก แล้วความรักก็ทำให้คนตาบอด เด็กจะเอาอะไรก็ให้ทั้งนั้น จะเล่นหัว จะสนุกสนาน จะเอาอะไรก็ส่งเสริมทั้งนั้น คือส่งเสริมสัญชาตญาณมีตัว ให้ค่อย ๆกลายเป็นความเห็นแก่ตัว ไม่มีพ่อแม่คนไหนพาลูกไปที่ร้านขายของเล่นแปลกแพง ๆแล้วบอกกับลูกว่าทั้งหมดนี้เขามีไว้ให้เราโง่นะลูกเอ๋ย ไม่มีใครทำอย่างนี้ มีแต่จะเอาอะไรก็จะซื้อให้ทั้งนั้น แพงเท่าไหร่ก็ไม่ว่า มันเป็นเสียอย่างนี้ ไม่ได้มองกันในแง่ที่ว่าทำให้เด็กโง่ เข้าใจผิด คือหลงใหลในสิ่งนั้นแล้วเกิดความเห็นแก่ตัว นี่เป็นปัญหาที่ว่าทำอย่างไรลูกหรือเด็ก ๆของเราจะได้รับการแวดล้อมที่ถูกต้อง อย่าได้เกิดความเห็นแก่ตัวเพิ่มขึ้นมาจะโทษใครก็ไม่ได้ ขนบธรรมเนียมประเพณีเป็นอย่างนี้ ทุกคนที่แวดล้อมเด็กๆมีแต่พูดว่า ของหนู..ของหนู..พ่อของหนู..แม่ของหนู..อะไรๆก็ของหนู เป็นของหนู เป็นของตัวไปหมด เด็กก็เข้าใจไปในทำนองนั้น สัญชาตญาณที่เป็นเพียงความมีตัวล้วนๆค่อยๆกลายเป็นสัญชาตญาณแห่งความเห็นแก่ตัว จนกระทั่งเลยความพอดี เรียกร้องมากเกินไป วัฒนธรรมประจำชาติ ประจำบ้านเรือนก็ไม่มีสำหรับจะสอนให้เด็กเล็ก ๆเข้าใจถูกต้องมาตั้งแต่ตัวเล็ก ๆ ถ้าเด็กเดินไปชนเก้าอี้ พ่อแม่พี่เลี้ยงก็ไปตีเก้าอี้ ช่วยกันตีเก้าอี้ ให้เด็กหายร้องไห้ เข้าข้างลูก เข้าข้างหนู ส่งเสริมความมีตัว ความเห็นแก่ตัว เด็ก ๆก็มีความรู้สึกเป็นตัวกู..ตัวกู..ตัวกู ขึ้นมา ตามความเห็นแก่ตัว แล้วก็เกิดความรู้สึกเป็นของกู..ของกู..ของกู ขึ้นมา ตามความรู้สึกที่มีความรู้สึกว่ามีตัวกู ปัญหามันจึงเกิดขึ้น มีดบาดเนื้อก็บอกว่ามีดบาดกู ไม่ได้รู้สึกเพียงมีดบาดนิ้วมือนิดเดียว มันเรียกว่ามีดบาดกู กูจะตายแล้ว นี่เป็นความเห็นแก่ตัวกู มันเจริญขึ้นมาโดยควบคุมไว้ไม่ได้ ชักไปในฝ่ายกิเลส เป็นความโลภบ้าง เป็นความโกรธบ้าง เป็นความหลงบ้าง ถูกใจก็เป็นความโลภ ไม่ถูกใจก็โกรธ หลงวนเวียนอยู่อย่างนั้น การเห็นแก่ตัวมีปัญหามาก เป็นปัญหาทั้งโลก เราต้องจัดการสอนเด็กใหม่ จะสอนกันอย่างไร ในเมื่อเด็กๆไม่มีพื้นฐาน ไม่มีความรู้อะไรมาก่อนเลย นอกจากตัวกู ของกู ต้องได้ทุกอย่างตามที่ตัวกูต้องการ แม้ที่สุดความรักพ่อแม่ยังไม่มี เพราะพ่อแม่ตามใจ กลายเป็นการส่งเสริมความเห็นแก่ตัว ถ้าเราต้องการจะให้เด็กเกิดความรู้ที่ถูกต้องแท้จริงขึ้นมาอย่างไร ควรเสนอวิธีการสอนด้วยการถามให้เด็กเกิดความรู้สึกขึ้นมาได้เอง ซึ่งไม่ต้องอาศัยคำสั่งสอนอะไร ให้เด็กๆเขารู้ขึ้นในใจว่ามันเป็นอย่างนั้น เช่นจะถามว่าใครรักเรามากที่สุดในโลก ? ให้คิดอย่างเสรี เด็ก ๆก็จะคิดออกว่าพ่อแม่ เกิดมาเองได้ไหม? ก็ไม่ได้ เกิดจากโพรงไม้ได้ไหม? ก็ไม่ได้ เกิดจากไหน ก็เกิดจากพ่อแม่ ใครให้นมกิน ใครให้เสื้อ ใครให้ผ้า ใครให้กางเกง ใครให้รองเท้า ใครให้ขนม ให้เกิดความรู้สึกออกมาจากเด็กเอง ถามว่าออมสินไหนบ้างที่เบิกเงินได้ตลอดเวลาโดยไม่ต้องฝาก? เข้าใจว่าเด็กทุกคนจะมองออก แล้วมันจะค่อยๆเกิดความรู้สึกในพ่อแม่ ดังนั้นขอให้ฝังหมุดตัวแรกลงไปที่พ่อแม่หรือความรักพ่อแม่  ทำซ้ำทุกวันให้สูงยิ่งขึ้น ต้องถามเพิ่มขึ้นทุกวันให้ลึกลงไปทุกวันจนเห็นว่าชีวิตนี้ได้มาจากพ่อแม่ ให้ความรู้สึกในพระเดชพระคุณของพ่อแม่ มีความรักพ่อแม่อย่างสุดชีวิตจิตใจ อย่าปล่อยไปตามลำพังว่า พ่อแม่ตามใจเราทุกอย่าง ให้เราได้อร่อย ได้ของเล่น ซึ่งมันหนักไปทางกิเลส ไม่นำไปทางโพธิ ถ้าจะนำไปทางโพธิมันต้องมีเหตุผลทำให้เด็กเป็นผู้สร้างโลก ให้มองเห็นชัดเป็นเหตุผล เป็นความถูกต้องว่าพ่อแม่มีพระเดชพระคุณยิ่งกว่าผู้ใด ถ้าหมุดอันนี้ปักลงไปได้สำเร็จแล้ว อันอื่นก็จะเกาะอยู่บนนี้ คุณธรรมอันอื่นก็จะอาศัยเกาะอยู่ที่หมุดสำคัญนี้คือ ความรักพ่อแม่อย่างสุดชีวิตจิตใจ โตขึ้นมาไม่สามารถจะทำให้พ่อแม่น้ำตาไหล แต่ปัจจุบันไม่มีหมุดตัวนี้ฝังอยู่ในใจ วัยรุ่นทุกคนจึงพร้อมที่จะทำให้พ่อแม่น้ำตาไหล   ที่มา : THAIQUOTE

Tag :