ดร.สมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า กรณีสหรัฐจับตาประเทศไทย อาจเข้าข่ายขึ้นบัญชีดำประเทศที่อาจมีส่วนทำให้เงินดอลลาร์สหรัฐอ่อนค่าจากการแทรกแซงค่าเงิน ซึ่งจะประกาศในเดือนเมษายนนี้ เพราะไทยเกินดุลบัญชีเดินสะพัดมากกว่าร้อยละ 3 ของจีดีพี มีการซื้อเงินสกุลต่างประเทศเกินร้อยละ 2 ช่วงปีที่ผ่านมา และยังเกินดุลการค้ากับสหรัฐประมาณ 1.89 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ รองนายกรัฐมนตรียืนยันว่าไทยไม่ได้ยุ่งเกี่ยวกับการแทรกแซงค่าเงิน แต่เพราะดุลบัญชีเดินสะพัดของไทยดีขึ้นมาก การค้าเกินดุลจำนวนมาก การลงทุนเพิ่มสูงขึ้น เสถียรภาพเศรษฐกิจเข้มแข็ง ดัชนีตลาดหุ้นไทยขยับสูงต่อเนื่อง และหลักสำคัญไม่ได้มาจากเศรษฐกิจไทยนัก  แต่เป็นเพราะค่าเงินดอลลาร์สหรัฐอ่อนค่าลงเอง  จึงได้ขอข้อมูลจาก ธปท.เพื่อติดตามการเคลื่อนไหวของค่าเงินบาทมาโดยตลอด ยอมรับว่าค่าเงินบาทแข็งค่าสอดคล้องกับประเทศเพื่อนบ้าน ขณะที่ริงกิตมาเลเซียยังแข็งค่ากว่าเงินบาทไทย   ส่วนจีนไม่ได้ถือครองเงินสกุลดอลลาร์สหรัฐ หรือทรัพย์สินของสหรัฐจำนวนมากเหมือนอดีตจึงทำให้ดอลลาร์สหรัฐอ่อนค่าลง “ได้กำชับ ธปท. ดูแลการเคลื่อนไหวของเงินบาทอย่างใกล้ชิดและเข้มงวด มีอะไรผิดปกติทำให้ผันผวนไหม  และหากสหรัฐจะมาดูข้อมูลเศรษฐกิจของไทย พร้อมเปิดให้ดูอย่างโปร่งใส เพราะค่าเงินบาทของไทยเคลื่อนไหวแข็งค่าตามเศรษฐกิจ เนื่องจากขณะนี้การส่งออกขยายตัว การท่องเที่ยวดีต่อเนื่อง การลงทุน เงินบาทย่อมแข็งค่าตามเป็นเรื่องธรรมดา ” ดร.สมคิด กล่าว เมื่อเงินบาทแข็งค่าต้องอาศัยจังหวะนี้ลงทุนพัฒนาปรับปรุงเครื่องจักร อุปกรณ์ รองรับเทคโนโลยีสมัยใหม่ เพื่อเพิ่มศักยภาพ  เพราะซื้อได้ในราคาถูกลงจากต่างประเทศ และภาคเอกชนควรเร่งรัดการลงทุน ส่วนการชำหนี้ต่างประเทศได้วางตารางชำระหนี้ล่วงหน้าเกือบหมดแล้วจนอยู่ในระดับไม่น่าเป็นห่วง