จากการวิเคราะห์พบว่าน้ำหนักเกินกับภาวะอ้วนของเด็กมีความสัมพันธ์กับการรับประทานอาหารที่โรงเรียน โดยได้สำรวจร้านขายอาหารในระยะ 100 เมตรรอบรั้วโรงเรียนทุกระดับในเชียงใหม่ 100 แห่ง อุบลราชธานี 100 แห่ง สงขลา 100 แห่ง และ นนทบุรี 54 แห่ง พบว่าส่วนใหญ่ขายอาหารที่ไม่เป็นมิตรกับสุขภาพ ทั้งขนมกรุบกรอบ ของทอด จั๊งฟู้ด เป็นต้น ส่วนร้านผลไม้ที่ควรจัดให้มีการจำหน่ายมากที่สุดกลับพบว่ามีไม่ถึงร้อยละ 5 บางโรงเรียนไม่พบว่ามีการจำหน่ายเลยด้วยซ้ำ ที่น่าเป็นห่วงคือภาครัฐมีนโยบายห้ามจำหน่ายน้ำหวาน น้ำอัดลมในโรงเรียน แต่กลับพบว่าครูเป็นคนแอบเอามาขายให้นักเรียนเสียเอง

          นายกิตติ กล่าวต่อว่า นอกจากนี้ยังพบว่าในส่วนของโครงการอาหารกลางวันมีผักไม่เพียงพอ บางครั้งไม่มีผลไม้ เพราะอาหารทำเป็นหม้อใหญ่ บางวันมีกับข้าวอย่างเดียว หากเงินเหลือก็จะมีกับข้าว 2 อย่างทำให้เด็กได้รับสารอาหารไม่ครบ จึงอยากให้มีการอบรมให้ความรู้ด้านโภชนาการกับครูและผู้ประกอบอาหารของโรงเรียน ถ้าโรงเรียนมีอาหารดีๆเด็กก็ไม่ต้องไปซื้ออาหารจั๊งฟู้ดหรืออาหารไม่มีคุณภาพมารับประทาน

          “ปัจจุบันมีแนวคิดการเพิ่มภาษีน้ำหวาน น้ำอัดลม เป็นไปได้หรือไม่ที่จะมีการขึ้นภาษีอาหารที่ไม่มีประโยชน์ต่อสุขภาพ และหาช่องทางทำให้อาหารเพื่อสุขภาพราคาถูกลง เพื่อให้คนหันมาทานอาหารเหล่านี้มากขึ้น เช่นโรงเรียนแห่งหนึ่งในเชียงใหม่ที่ผู้ปกครองรวมตัวกันกดดันจนเปลี่ยนร้านขายลูกชิ้นทอดมาเป็นลูกชิ้นนึ่งแทน และให้มีการขายผลไม้มากขึ้น” นายกิตติ กล่าว