ยุทธศาสตร์ชาติ ปรับโครงสร้างเศรษฐกิจเป็นดิจิทัล

by ThaiQuote, 21 กุมภาพันธ์ 2561

ดร.สมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี กล่าวปาฐกถาพิเศษในงาน “Digital Intelligent Nation 2018” โดยกล่าวว่าเมื่อไม่นานมานี้สภาพัฒน์ฯ ได้ประกาศจีดีพีไว้ที่ 3.9 % ถือได้ว่าเป็นเรื่องที่น่าพอใจ ในปีนี้คาดว่าน่าจะได้ที่ 4.1 % ถ้าสามารถดำเนินการให้ได้เป็นไปตามแผนการลงทุนรัฐ-เอกชน(7แสนล้านบาท) และจากการประเมินตัวเลขการส่งออกที่ผ่านมาสูงสุดในรอบ 62 เดือน หากเราช่วยกันเชื่อมั่นว่าจะต้องสูงกว่า 4.1 % อย่างแน่นอน แต่มีปัจจัยว่าเราต้องมีการปรับโครงสร้างทางเศรษฐกิจ เพราะโครงสร้างที่ผ่านมานั้นเก่าเกินไป และยากต่อการแข่งขันในโลกอนาคต รองนายกรัฐมนตรีกล่าวว่า โลกเข้าสู่ยุคดิจิทัล ตลอด 3-4 ปีที่ผ่านมาเป็นทั้งโอกาสและความเสี่ยง ปีที่ผ่านมาเศรษฐกิจของโลกเริ่มฟื้นตัว อาเซียนมีการเปลี่ยนแปลงและเติบโตจนเป็นที่สนใจของโลก ประเทศไทยได้เปรียบเพราะโดยภูมิศาสตร์เราเป็นศูนย์กลางและเป็นจุดเหมาะสมที่สุดในเวลานี้ นักธุรกิจต้องนำจุดแข็งเหล่านี้ไปใช้ประโยชน์   สำหรับปัญหาเรื่องเศรษฐกิจของคนรากหญ้านั้น หากจะแก้ในทันทีนั้นเป็นเรื่องยาก เพราะมีหลายปัจจัยเศรษฐกิจการผลิตของกลุ่มนี้ยังล้าสมัย ต้องใช้เวลาและเทคโนโลยีเข้าไปสนับสนุนอีกมาก แต่ถ้าไม่ทำวันนี้ก็จะเป็นความเสี่ยงในอนาคต   เทคโนโลยีที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะอย่างยิ่งดิจิทัลทั้งหมดนี้ได้ก่อให้เกิดโอกาสใหม่ เกิดการสร้างนวัตกรรม สิ่งประดิษฐ์  และเชื่อว่าเทคโนโลยียังคงก้าวต่อไปข้างหน้าและก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างไม่มีที่สิ้นสุด สิ่งเหล่าทำให้หลายประเทศตื่น ถ้าประเทศไหนตื่น คนตื่น ประเทศนั้นก็เท่าทัน สำหรับประเทศไทยนั้นต้องถือว่าเราตื่นสาย ตื่นไม่ถึง 3 ปี ต้องเร่งปรับตัว เอกชนบางส่วนตื่นแล้ว แต่ภาครัฐยังไม่ตื่น จำเป็นต้องตื่น ตื่นสายดีกว่าไม่ตื่น ดร.สมคิดกล่าวว่า ขณะนี้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดีอีพยายามที่จะปลุกคนไทยทั้งประเทศเข้าสู่ดิจิทัล ส่งเสริมให้เกิดสตารต์อัพไทยแลนด์ ดิจิทัลไทยแลนด์ เน็ตหมู่บ้าน สิ่งเหล่านี้เราต้องเดินไปข้างหน้า รัฐบาลถือว่าเรื่องดิจิทัล และเทคโนโลยีเป็นเรื่องสำคัญ จัดเป็นนโยบายหลักที่ต้องการผลักดันให้เป็น “Digital for All ” ไปสู่ทุกคนในประเทศนี้ให้ได้ เพื่อลดความเหลื่อมล้ำ นโยบายของรัฐบาลต้องการให้กระทรวงดีอีจับมือกับกระทรวงวิทยฯกำหนดเป้าหมายอย่างน้อยที่สุดโครงการเน็ตหมู่บ้านจะต้องไปให้ทั่วถึง เพื่อช่วยเอื้อประโยชน์ต่างๆ ให้ประชาชนในอนาคต ทุกภาคส่วนต้องช่วยกันเพื่อให้เข้าถึงด้านการศึกษา ความรู้ด้านสาธารณสุข ส่วนทางด้านการเกษตรจะต้องสร้างสมาร์ทฟาร์มเมอร์ให้ได้ ต้องสร้างปรากฏการณ์ Local on Global          ด้วยการสอนผ่านทางอินเทอร์เน็ต การเปลี่ยนโครงสร้างเศรษฐกิจของประเทศ เป็นเศรษฐกิจแบบดิจิทัลต้องเปลี่ยนโครงสร้างเศรษฐกิจแบบยกกำลัง ซึ่งจะส่งผลให้เกิดการเติบโตของจีดีพีแบบทวีคูณ   “เราจำเป็นต้องเปลี่ยนผ่านสังคมจากอนาล็อกสู่ดิจิทัล วิสาหกิจชุมชนจะต้องทำการค้าแบบอี-คอมเมิร์ช ผลักดันสินค้าท่องเที่ยว เชื่อมโยงกับผลผลิตทางการเกษตรที่ผ่านการสร้างมูลค่าเพิ่ม ทุกจังหวัดจะต้องมีศูนย์กลางการบริการด้านการค้าออนไลน์ให้เอสเอ็มอีได้เข้าไปใช้ประโยชน์” ดร.สมคิดกล่าว สิ่งสำคัญในประเด็นต่อมาคือการสร้างบุคลากรให้สอดคล้องกับยุคของดิจิทัลที่เปลี่ยนผ่านเข้ามา มหาวิทยาลัยมีส่วนสำคัญเป็นอย่างมาก หากไม่ปรับตัว ไม่พัฒนาหลักสูตร จากนี้ต่อไปจะไม่ให้งบประมาณเพราะไม่รู้ว่าผลิตออกมาจะไปทำงานอะไร เพราะสังคมดิจิทัล ถ้าไม่มีบุคลากรเหล่านี้ เศรษฐกิจก็เดินต่อไปไม่ได้   เรื่องของ Big Data เป็นหัวใจสำคัญของการตัดสินใจสิ่งต่างๆ ในอนาคต ทางรัฐบาลได้ให้นโยบายให้ทูตพาณิชย์นำข้อมูลต่างๆ เข้ามา รัฐบาลมีหน้าที่ทำให้ข้อมูลเหล่านี้เข้ามาให้มีประโยชน์ ตอนนี้เราเปลี่ยนการจ่ายเงินของภาครัฐทุกอย่างเป็นดิจิทัล อี-เพย์เมนต์ ซึ่งสิ่งเหล่านี้เกิดแน่นอน ประเทศกำลังเปลี่ยน รัฐบาลต้องไม่กลัวเทคโนโลยี ใช้ให้เกิดประโยชน์   ในระหว่างที่เป็นรัฐบาล รัฐมนตรีเศรษฐกิจมีหน้าที่สร้างสิ่งเหล่านี้ สร้างบุคลากร นำสถาบันศึกษาไปเปิดอีอีซี มหาวิทยาลัยเอกชนกำลังตื่นตัว เราจะทุ่มงบต่อหัวกลับให้กับสถาบันโดยจ่ายคืนในรูปแบบของภาษีให้กับสถาบันการศึกษาที่ผลิตบุคลากรให้สอดคล้องกับทิศทางของเศรษฐกิจที่จะเติบโตไป โดยเฉพาะอย่างยิ่งในระยะเร่งด่วน โครงการอีอีซี ขณะนี้สถาบันการศึกษาต่างประเทศจะเข้ามาร่วม เราพยายามผลักดันเท่าที่เวลาที่เรามีอยู่ ประเด็นสุดท้าย Digital politic แต่เดิมจะให้คนมาโหวตยาก แต่ดิจิทัล สร้างการมีส่วนร่วม เข้ามาแชร์ไอเดีย สิ่งเหล่านี้นำไปสู่ความตื่นตัวในการบริหารประเทศ เมื่อประชาชนสื่อกับรัฐบาลโดยตรง รัฐบาลเริ่มรู้ว่าสิ่งที่ทำถูกหรือผิด การมีโอกาสรับฟังทำให้เกิดปฏิกิริยาระหว่างรัฐประชาชน การบังคับบัญชาไม่เหมือนเดิม สิ่งเหล่านี้ทำให้โซเชียลมีเดีย เกิดการตื่นตัวที่ดี เกิดพลังการขับเคลื่อนที่มีพลัง ในขณะเดียวกันอีกด้านหนึ่งก็ก่อให้เกิดความน่ากลัว ทันทีเราใช้มือถือหาข้อมูล ความคิดเราหยุด ความตระหนักว่าจริงหรือเท็จ ต่อไปจะน้อยลง มาแล้วก็ผ่าน เกิดการบิดเบือนการประณาม การตกแต่ง สิ่งเหล่านี้เกิดขึ้นมา คนเราสื่อทางดิจิทัล เขาเลือกที่จะคุยกับใครและไม่คุยกับใคร มันกำลังทำลายสังคม ทำให้หลายประเทศเกิดความแตกแยกทางความคิด ขอให้ประเทศไทยอย่าเป็นอย่างนั้น จะเกิดการแตกขั้วทางความคิด ทำให้ไม่เกิดพลัง ประเทศอาจพังได้ ถ้าเราควบคุมในทิศทางที่ไม่ถูกต้อง ไม่มีสติ พลังสามัคคีจะอ่อนแรง Digital Politics ต้องอยู่ในช่องทางที่ถูกต้อง ใน3 ปีนี้เป็นเวลาสำคัญ ไม่ว่าใครเป็นรัฐบาล ต้องเปลี่ยนผ่านให้ได้ ประเทศไทยต้องก้าวไปข้างหน้าให้ได้ อนาคตข้างหน้าอยากให้มีนักธุรกิจและสตาร์ทอัพให้มากๆ ใครพร้อมเข้าสู่การเมือง อนาคตข้างหน้าเป็นยุคของคนหนุ่มสาว

Tag :