จับตา พรรคสีส้ม 'พรรคอนาคตใหม่'

by ThaiQuote, 16 มีนาคม 2561

หนึ่งในความเคลื่อนไหวทางการเมืองที่น่าจับตามองจากเหล่าบรรดาคอการเมืองนั่นคือการเปิดตัวของ “พรรคอนาคตใหม่” โดยการนำของนายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ซึ่งโดยสายใยแล้วเป็นหลานอาของนายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ อดีตแกนนำพรรคไทยรักไทย เขาเข้าศึกษาในคณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ หลักสูตรนานาชาติ ด้วยหวังจะเป็นนักแต่งรถ  ต่อมาเกิดความท้อแท้ในการเรียนจึงได้หันไปเอาดีทางด้านกิจกรรมในมหาวิทยาลัย เขาได้รับเลือกเป็นอุปนายกองค์การนักศึกษามหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ในปี 2542 และได้รับเลือกเป็นรองเลขาธิการสหพันธ์นิสิตนักศึกษาแห่งประเทศไทยในปี 2543 และทำกิจกรรมทางการเมืองอื่นๆ อีกมากมาย   ต่อมาเมื่อขึ้นสู่ขชั้นปีที่ 3  ธนาธรก็ไปศึกษาต่อที่มหาวิทยาลัยนอตทิงแฮม ประเทศอังกฤษ ที่อังกฤษนี้เองเขาเริ่มศึกษาทฤษฎีของคาร์ล มากซ์ และวลาดีมีร์ เลนิน ธนาธรระบุว่าตัวเองในช่วงนี้มีหัวคิดแบบสังคมนิยม เขากลับมาทำงานด้านเอ็นจีโอที่ไทยได้ราวครึ่งปี  บิดาของธนาธรเสียชีวิตในปี 2545 ในฐานะลูกชายคนโตของครอบครัว ธนาธรในวัย 23 ปีจำใจต้องกลับมารับช่วงบริหารบริษัทต่อจากบิดาและเข้าสู่วิถีทุนนิยม ทั้งๆ ที่ก่อนหน้านั้นเขาไม่เคยสนใจหรือยุ่งเกี่ยวกับธุรกิจของครอบครัวเลย ตั้งแต่ที่ธนาธรเริ่มเข้าไปบริหารไทยซัมมิท ไทยซัมมิทได้เติบโตจากการมีรายได้ 16,000 ล้านบาทในปี 2544 เป็นมีรายได้ 80,000 ล้านบาทในปี 2560   และแล้วปี่กลองทางการเมืองก็ไปปลุกวิญญาณของนายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ให้จับมือกับ นายปิยบุตร แสงกนกกุล นักวิชาการด้านกฎหมายรัฐธรรมนูญ และสมาชิกในกลุ่มจำนวน 26 คน แถลงเปิดตัวพรรคอนาคตใหม่ ที่แวร์เฮ้าส์ เจริญกรุง 30 เมื่อวันที่ 15 มีนาคมที่ผ่านมา โดยใช้สีส้มเป็นสัญลักษณ์ของพรรค และให้เหตุผลว่าเป็นสีที่สร้างสรรค์มีพลัง สดใส อรุณรุ่ง ผ่องอำไพ ส่วนโลโก้พรรคที่เป็นสามเหลี่ยมหัวกลับ ข้างบนเป็นฐานหมายถึงประชาชนส่วนใหญ่ที่จะทำให้มีชีวิตให้ดีขึ้น   นายธนาธรกล่าวตอนหนึ่งในช่วงเปิดตัวว่า “อนาคตใหม่ คือ พื้นที่ของคนไม่ยอมจำนนต่อสภาวการณ์ปัจจุบัน อนาคตใหม่ คือ การเชิดชูและเทิดทูนคุณค่าประชาธิปไตยและสิทธิมนุษยชน อนาคตใหม่ คือ การต่อสู้เพื่อสร้างเศรษฐกิจที่ก้าวหน้าและเป็นธรรมให้กับคนทุกคน อนาคตใหม่ คือ ความเชื่อมั่นในศักยภาพของมนุษย์ โดยเชื่อว่ามนุษย์ทุกคนมีความฝันและจินตนาการ และมนุษย์ทุกคนมีสิทธิเดินตามความฝันและปกป้องความฝันของตนเองไว้ ด้วยความเชื่อเช่นนี้จึงรวมตัวกันจดจัดตั้งพรรคการเมืองที่เชื่อว่าจะยืนหยัดเพื่อผลประโยชน์ของประชาชน   วันนี้คือเวลาที่เหมาะสมที่สุด เราเชื่อว่าคนธรรมดาสามารถเปลี่ยนแปลงการเมืองไทยได้ วันนี้คนธรรมดาพร้อมที่จะเปล่งเสียง มีส่วนร่วม และสนุกสนานไปกับการเมือง นั่นคือสิ่งที่เราเชื่อ”   ทางด้านนายปิยบุตร แสงกนกกุล หนึ่งในแกนนำคณะนิติราษฎร์ ก็ได้กล่าวตอนหนึ่งว่า “ ประการแรก พรรคอนาคตใหม่จะทำให้ประชาชนคนไทยเห็นร่วมกันว่า สามารถกลับสู่การเมืองแบบประชาธิปไตยได้ วิกฤตการณ์ตลอดทศวรรษทำให้กองทัพครองอำนาจได้อย่างยาวนาน โดยอ้างตัวเป็นคนกลางเข้ามาแก้ไขวิกฤต ทั้งที่ความจริงแล้วกองทัพก็คือคู่ขัดแย้ง และเป็นส่วนหนึ่งของปัญหา สร้างภาพหลอนอยู่เสมอว่า หากกลับไปสู่ประชาธิปไตยหรือการเลือกตั้ง ความขัดแย้งวุ่นวายตลอด 10 ปีจะกลับมาอีก ทำให้คนจำนวนมากต้องยอมทนอยู่กับรัฐบาลทหารเช่นนี้เรื่อยไป ผู้คนจำนวนมากเบื่อหน่ายกับการเมือง ท้อแท้ สิ้นหวัง จนคิดไปว่าการเมืองระบอบประชาธิปไตยไม่สามารถแก้ปัญหาได้ ดังนั้นการสร้างพรรคการเมืองแบบใหม่จะช่วยกระตุกความคิดของคนในสังคมให้มีทางออก และมีทางเลือกใหม่ ที่ทำให้คนมีความหวังว่าการเมืองจะดีขึ้น พร้อมกลับไปสู่การเลือกตั้ง กลับไปสู่การเมืองแบบประชาธิปไตย และเชื่อว่าความขัดแย้งทางการเมืองในระบอบประชาธิปไตยนั้นเป็นเรื่องปกติ ประชาชนเท่านั้นที่จะสามารถแก้ไขกันเอง   ประการที่สอง พรรคอนาคตใหม่มุ่งเปลี่ยนแปลงสังคมไทยให้ดีกว่าที่เป็นอยู่ โดยมีวิธีบริหารจัดการแบบใหม่ หลอมรวมคนที่ไม่ยอมจำนนกับสิ่งที่เป็นอยู่ คนที่มีความรู้ความสามารถเข้าไว้ด้วยกันเพื่อสร้างการเมืองแบบใหม่ เสนอนโยบายแบบก้าวหน้า นโยบายที่เน้นการกระจายอำนาจ นโยบายทำให้ประชาชนมีโอกาสทางเศรษฐกิจที่เท่าเทียม พัฒนาคุณภาพชีวิต ทลายการผูกขาดทางเศรษฐกิจ พัฒนาระบบสวัสดิการ สร้างหลักประกันถ้วนหน้าให้กับคนทุกคนตั้งแต่เกิดจนตาย ส่งเสริมให้ประชาชนมีศักยภาพเท่าทันการเปลี่ยนแปลงของโลก ซึ่งมาพร้อมกับโอกาสและความท้าทาย สร้างกฎหมายให้ทันกับยุคสมัย เอื้อต่อธุรกิจในรูปแบบใหม่มิใช่เป็นอุปสรรคขัดขวาง   และประการสุดท้าย พรรคอนาคตใหม่ต้องการเปลี่ยนภูมิทัศน์ทางการเมืองไทย มุ่งทำงานอย่างสร้างสรรค์ นำเสนอนโยบายและลงมือปฏิบัติ พรรคอนาคตใหม่มีประชาชนทุกคนร่วมกันเป็น เจ้าของผ่านการระดมทุน ระดมสมอง บริหารจัดการแบบประชาธิปไตยจากรากฐาน เป็นพื้นที่เปิดกว้างสำหรับทุกเสียง นโยบายของพรรคมาจากการศึกษาค้นคว้าทางวิชาการ และการรับฟังความคิดเห็นจากประชาชน พรรคอนาคตใหม่จะสามารถปักหมุด การเมืองไทยจะมิใช่การทำลายล้างศัตรู แต่การเมืองไทยคือการสร้างสรรค์ การเมืองไทยจะไม่ใช่เรื่องสกปรกหรือใส่ร้ายป้ายสี แต่การเมืองไทย คือ การเชื่อว่าการเปลี่ยนแปลงไปสู่สิ่งที่ดีกว่าเป็นไปได้เสมอ   การเมืองไทยจะไม่ใช่เรื่องของชนชั้นนำทางการเมืองของคนไม่กี่คน แต่จะเป็นเรื่องของประชาชนที่ทรงอำนาจสูงสุดในการตัดสินใจ พรรคการเมืองแบบนี้อาจไม่เคยปรากฏขึ้นมาก่อนในการเมืองไทย และคงไม่มีใครคาดว่าจะเกิดขึ้นได้ แต่อดีตเป็นบทเรียนและประสบการณ์ อดีตไม่ใช่ตัวกำหนดอนาคต เพราะอนาคตเป็นของเรา หากเราเชื่อว่าเป็นไปได้ และลงมือทำ เช่นนี้ก็คือพวกเราเป็น ผู้กำหนดอนาคต ประเทศไทยสูญเสียโอกาสและเวลาไป มากพอแล้ว ประชาชนคนไทยต้องมีชีวิตดีกว่านี้ และเปลี่ยนแปลงไปสู่สิ่งที่ดีกว่า ขอเพียงมีการเมืองที่เป็นประชาธิปไตย เข้มแข็ง และสร้างสรรค์”   ทางด้านการเงินที่มาสนับสนุนพรรคนั้น นายธนาธร กล่าวว่า “ส่วนด้านการเงิน ไม่อยากให้พรรคนี้เป็นพรรคที่เติบโตและอยู่ต่อไปด้วยเงินจากกระเป๋าของผม แต่จะทำให้พรรคนี้สามารถระดมทุนจากประชาชนเป็นไปได้จริง จะใช้เทคโนโลยีต่างๆ ที่มีอยู่เป็นเครื่องมือในการระดมทุนจากประชาชน เชื่อว่าพรรคการเมืองที่อยู่ได้จากการระดมทุนจากประชาชนเป็นไปได้ และเมื่อได้เงินจากประชาชนจะทำให้ต้องฟังเสียงของพวกเขา จะไม่มีใครที่มีอำนาจเหนือสมาชิกพรรค”   ด้าน นายปิยบุตร กล่าวว่า ส่วนจุดยืนต้องการแก้ไขประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 นั้น การเสนอแก้ไขมาตรานี้อยู่ภายใต้หลักของกฎหมาย ไม่ให้บุคคลใดนำมาตรานี้แอบอ้างสถาบันมากลั่นแกล้งผู้เห็นต่างและศัตรูทางการเมืองได้อีก ขณะที่ความสัมพันธ์กับคณะนิติราษฎร์ไม่เคยปฏิเสธการเป็นสมาชิก แต่วันนี้กำลังเปลี่ยนบทบาทจากนักวิชาการเป็นนักการเมือง ส่วนสมาชิกคนอื่นทำหน้าที่นักวิชาการต่อไปไม่เกี่ยวข้องกัน   เหตุผลที่พรรคการเมืองพรรคนี้เป็นที่น่าจับตามอง เพราะเป็นเทือกเถาเหล่ากอมาจากอดีตนักการเมืองที่ทรงอิทธิพลคนหนึ่งในพรรคไทยรักไทย ตลอดจนจุดยืนที่เขาประกาศขึ้นมานั้นช่างเป็นเรื่องท้าทายต่อปรากฏการณ์ทางการเมืองที่เป็นอยู่ในปัจจุบันนี้

Tag :