กม.ชำระเงินใหม่เข้ม ผิดปรับ 2 ล้าน

by ThaiQuote, 19 เมษายน 2561

นางสาว สิริธิดา พนมวัน ณ อยุธยา  ผู้ช่วยผู้ว่าการ สายนโยบายระบบชำระเงินและเทคโนโลยีการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย  (ธปท.) กล่าวว่าพระราชบัญญัติ​ระบบการชำระเงิน พ.ศ. 2560 มีผลบังคับใช้เเล้วตั้งแต่วันที่ 16 เมษายนที่ผ่านมา ซึ่งในรายละเอียดมีการคุ้มครองผู้บริโภคโดยเฉพาะเรื่องของการเก็บรักษาข้อมูลส่วนบุคคลของลูกค้าโดยมีการกำหนดมาตรฐานอย่างเข้มงวด ว่าบุคคลใดที่จะสามารถเข้าถึงข้อมูลของลูกค้าได้ และกำหนดขอบเขตของการนำข้อมูลไปใช้ซึ่งหากผู้ประกอบการรายใดทำข้อมูลลูกค้ารั่วจะมีโทษปรับสูงสุดไม่เกิน 2 ล้านบาท ซึ่งคณะกรรมการเปรียบเทียบปรับ จะพิจารณาตามความเสียหายที่เกิดขึ้น   ส่วนบริษัททรูมูฟ เอช ทำข้อมูลบัตรประชาชนลูกค้ารั่วไหล กรณีดังกล่าวไม่ได้เกี่ยวข้อง กับธปท. แต่ธปท.ได้มีการติดตามถึงระบบการป้องกันการรักษาข้อมูลส่วนบุคคลของบริษัท ทรูมันนี่ (TrueMoney) หลังจากที่เกิดปัญหาบริษัท ทรูมูฟ เอช ซึ่งจากการตรวจสอบเบื้องต้นไม่มีข้อกังวลใจแต่อย่างใด และได้กำชับให้ผู้ประกอบการทุกราย รวมทั้งสถาบันการเงิน ตรวจสอบระบบการป้องกันข้อมูลลูกค้าทุกปี   นางสาว สิริธิดา กล่าวว่าพ.ร.บ. ระบบการชำระเงินฉบับใหม่นี้ จะทำให้เกิดความคล่องตัว ในการโอนเงินทางอิเล็กทรอนิกส์ทั้งผู้ให้บริการและประชาชน ซึ่งก็จะทำให้การเข้าสู่สังคมไร้เงินสดของประเทศไทยรวดเร็วขึ้น สะท้อนจากวงเงินโอนผ่านระบบพร้อมเพย์ ในปัจจุบันที่ไม่ถึง 3,000 บาทต่อรายการ ขณะที่ยอดการใช้พร้อมเพย์สะสม อยู่ที่ 173 ล้านรายการ มูลค่าการโอน 7 แสนล้านบาท จากจำนวนผู้ลงทะเบียน 40 ล้านเลขหมาย ณ วันที่ 6 เมษายน 2561   ส่วนผู้ประกอบการรายเดิมที่ให้บริการทั้งในส่วนของภาคธนาคารและผู้ให้บริการที่ไม่ใช่สถาบันการเงิน หรือ non-bank ที่มีการออกบัตร เครดิต บัตรเดบิต และบัตรอิเล็กทรอนิกส์ทางการเงินทุกรูปแบบ หรือ E-Money ต้องมาขออนุญาตหรือขึ้นทะเบียนใหม่กับ ธปท. ภายใน 120 วัน หรือจนถึงวันที่ 14 สิงหาคม 2561 ไม่เช่นนั้นจะไม่สามารถให้บริการได้  ส่วนผู้ประกอบการรายใหม่ที่จะทำธุรกิจ E - Money ต้องมีทุนจดทะเบียน 100 ล้านบาท จากเดิมกำหนดอยู่ที่ 200 ล้าน บาท เพื่อให้ผู้ประกอบการรายเล็กสามารถให้บริการได้มากขึ้นและมีการเเข่งขันมากขึ้นด้วย.
Tag :