นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี บรรยายในงานสัมมนา “GAME CHANGER เกมส์ใหม่ เปลี่ยนอนาคต” จัดโดยหนังสือพิมพ์ประชาชาติธุรกิจ ว่า เศรษฐกิจของไทยไตรมาส 1 ปีนี้ขยายตัวร้อยละ 4.8 นับเป็นการเติบโตต่อเนื่อง เพราะปัจจัยทุกด้านขยายตัวจากช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา จากส้ินปี 57 ขนาดจีดีพีของผลผลิตมวลรวมของประเทศมูลค่า 13.2 ล้านล้านบาท ได้เพิ่มเป็น 15.4 ล้านล้านบาทในส้ินปี 60 นับว่าจีดีพีของประเทศเพิ่มขึ้น57 ถึง 2 ล้านล้านบาท ขณะที่ดัชนีหุ้นไทยขยับเพิ่มจาก 1,400 จุด มูลค่าตลาดรวม 13.2 ล้านล้านบาท ดัชนีหุ้นไทยเพิ่มเป็น 1,700 จุด มูลค่าตลาดรวม 17.7 ล้านล้านบาท นับว่าเพิ่มถึง 4 ล้านล้านบาทในปัจจุบัน ความมั่งคั่งเหล่านี้จะกระจายไปยังภูมิภาค กลุ่มฐานราก ชุมชน ผ่านการขับเคลื่อนโครงการประชารัฐ ไทยนิยมยั่งยืน เพื่อดูแลแรงขับเคลื่อนเศรษฐกิจให้รักษาระดับในปัจจุบันไม่ให้มีปัญหาทรุดตัวถือว่าเป็นส่ิงน่าพอใจ เมื่อแนวโน้มเศรษฐกิจในประเทศดีต่อเนื่อง จึงต้องสร้างความเชื่อมั่นให้กับนักลงทุนต่างชาติ  ไทยจึงต้องประกาศให้ชัดเจน  และโดดเด่นในเวทีโลก เพื่อให้ต่างชาติได้รับรู้ เพื่อเป็นศูนย์กลางของภูมิภาค CLMVT  เพราะเป็นจุดเชื่อมทั้ง One Belt One Raod ของจีน และ CPTPP ของญี่ปุ่น อินเดีย ออสเตรเลีย จึงต้องการให้ทุกฝ่ายเชื่อมั่นศักภาพเศรษฐกิจไทย มุ่งมั่นอย่างมีสติ เพราะยอมรับว่าช่วงที่ผ่านมาการแตกแยกทางการเมืองฝ่ายหนี่งจะขัดแย้งอีกกลุ่มหนึ่งมาตลอดไม่ว่าจะคิดทำอะไร จึงหลายเป็นสังคมบั่นทอนกำลังประเทศ  หลังจากนี้จึงต้องการเปลี่ยนสังคมดึงมวลชนที่ไม่มีแบ่งกลุ่มแบ่งสี มาร่วมปฏิรูปประเทศ ไม่เป็นศัตรูต่อกัน   เมื่อวานผู้บริหาร Google ได้เข้ามาหารือแผนลงทุน เสนอแผนการตั้งทีม Google Thailand เพื่อเข้ามาช่วยพัฒนาด้านเทคโนโยลี อบรมผู้ประกอบการสตาร์ทอัพ สร้างแพลทฟอร์มขายสินค้าออนไลน์  การบริหารจัดการนโยบายรัฐ จึงมุ่งเน้นการใช้นวัตกรรม เทคโนโลยีเป็นโครงสร้างหลักในการพัฒนาประเทศ เพื่อปลูกป่าผู้ประกอบการใหม่ ผู้ประกอบการ สตาร์ทอัพให้เกิดขึ้นจำนวนมาก  และเมื่อกำลังการผลิตอุตสาหกรรมมีสัดส่วนร้อยละ 72 การเร่งรัดการใช้จ่ายผ่านโครงการขนาดใหญ่ ดูแลสวัสดิการผ่านบัตรผู้มีรายได้น้อย ยืนยันทุกโครงการมุ่งเน้นดูแลความเจริญไปสุ่ภูมิภาค อีกทั้งต้องการเน้นพัฒนาภคการท่องเที่ยว เป็นเสาหลักของเศรษฐกิจ เพราะไม่ใช่เป็นสาขารองต่อไปอีกแล้ว เนื่องจากยอดนักท่องเที่ยวเข้าประเทศ  35 ล้านคนต่อปีจะเพิ่มเป็น 40 ล้านคนในอนาคต จึงต้องพัฒนาแหล่งท่องเที่ยวเมืองรองเพื่อส่งเสริมการออกไปใช้จ่ายในภูมิภาค   ส่วนกรณีราคาพลังงานทะยอยปรับสูงขึ้น กระทรวงพลังงานได้ใช้กองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงเข้าอุดหนุนราคาร้อยละ 50 ของการปรับขึ้นในแต่ละครั้ง เพื่อลดผลกระทบจากการปรับราคาค่าโดยสาร ลดต้นทุนเกษตรกร ขณะที่กระทรวงคลังดูแลลดค่าครองชีพผ่านบัตรสวัสดิการ กระทรวงพาณิชย์ดูแลให้เอกชนช่วยตรึงราคาสินค้า จึงคาดว่าหลายหน่วยงานจะร่วมดูแลปัญหาราคาพลังงานปรับสูงขึ้นมาได้ คาดว่าราคาน้ำมันจะอยู่ในกรอบดูแลได้  เพราะไทยเคยผ่านช่วงวิกฤติน้ำมันแพงเกิน 100 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาเรลล์มาแล้ว จึงไม่น่าห่วง