พลิกปูม! อดีตพระพุทธอิสระ ใกล้ชิดคสช. แต่โดนข้อหา "อั้งยี่ซ่องโจร-ปล้นทรัพย์"

by ThaiQuote, 25 พฤษภาคม 2561

เป็นเรื่องครึกโครม เมื่อเจ้าหน้าที่ตำรวจกองปราบปรามนับร้อยนาย บุกเข้าจับกุมตัว พระพุทธอิสระ อดีตเจ้าอาวาสวัดอ้อน้อย และแกนนำ กปปส. หรือคณะกรรมการประชาชนเพื่อการเปลี่ยนแปลงประเทศไทยให้เป็นประชาธิปไตยที่สมบูรณ์อันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข ในข้อหาอั้งยี่ซ่องโจร ปล้นทรัพย์ เมื่อคราวเป็นแกนนำการชุมนุม เมื่อปี 2557 และความผิดตามมาตรา 112 โดยในคำร้อง ระบุพฤติการณ์สรุปว่า เมื่อวันที่ 10 ก.พ.57ระหว่างการชุมนุมของกปปส. ซึ่งได้ดาวกระจายไปยังหลายพื้นที่ โดยพุทธอิสระ ได้นำผู้ชุมนุมที่ศูนย์ราชการถนนแจ้งวัฒนะ เวลานั้น ร.ต.ต.สมคิด เชยกมล และด.ต.วชิรพงศ์ อุ่นนวลบุรพงศ์ และร.ต.ต.สงวน คมขาว ผู้กล่าวหาที่ 1-3 ซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจสันติบาล ประจำ จ.นนทบุรี ได้รับคำสั่งให้สืบสวนหาข่าวม็อบชาวนาที่หน้ากระทรวงพาณิชย์ จ.นนทบุรี โดยทั้งหมดแต่งกายนอกเครื่องแบบ ซึ่งม็อบชาวนา ได้เดินจากหน้ากระทรวงพาณิชย์ เพื่อยื่นหนังสือถึงอัยการสูงสุดที่ศูนย์ราชการ ถ.แจ้งวัฒนะ เพื่อดำเนินคดีโครงการจำนำข้าว ผู้กล่าวหาทั้งสามก็ได้เดินทางมากับม็อบชาวนาด้วย ขณะนั้น “พระสุวิทย์” ผู้ต้องหา กับพวกได้ยึดพื้นที่ชุมนุมบริเวณดังกล่าวอยู่แล้ว เมื่อยื่นหนังสือเสร็จ ผู้กล่าวหา ได้เดินทางกลับมาที่ลานจอดรถ ก็มีกลุ่มการ์ดของผู้ต้องหา 3-4 คน เดินเข้ามาขอดูโทรศัพท์ของผู้กล่าวหาที่ 2 โดยทราบว่าเป็นเจ้าหน้าที่นอกเครื่องแบบแล้วจึงร่วมกันทำร้ายร่างกายจับมัดมือไพล่หลัง ใช้ผ้าปิดตา จากนั้นกลุ่มการ์ดวิ่งไปหา ผู้กล่าวหาที่ 1 แล้วร่วมกันทำร้ายเช่นเดียวกัน ส่วนผู้กล่าวหาที่ 3 หลบหนีไปได้ จากนั้นกลุ่มการ์ดได้ค้นตัวผู้กล่าวหาที่ 1-2 แล้วเอาโทรศัพท์มือถือ , นาฬิกา , สร้อยคอพร้อมพระไป และพาทั้งสองไปข้างเวที กปปส. ถ.แจ้งวัฒนะ บังคับขืนใจให้ตอบคำถาม กับบอกรหัสปลดล็อคหน้าจอโทรศัพท์ และทำร้ายร่างกาย กระทั่งวันเดียวกัน ( 10 ก.พ.57) ผู้บังคับบัญชาของผู้กล่าวหา ได้แจ้งให้ ตำรวจ สน.ทุ่งสองห้อง ติดต่อกับ “พระสุวิทย์” ผู้ต้องหาให้ปล่อยตัว ซึ่งผู้ต้องหาให้ตำรวจไปพบที่บ้านทรงไทย ตรงข้ามกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) โดยให้หัวหน้าการ์ดกลุ่มฉลามขาว การ์ดประจำตัวผู้ต้องหา มารอรับที่หน้าบริษัท CAT เมื่อไปถึงก็พาไปเต็นท์หลังเวทีปราศรัย อยู่ห่างจากบ้านทรงไทยประมาณ 100 เมตร โดยผู้ต้องหา ใช้วิทยุสื่อสารติดต่อกับบุคคล ซึ่งมีการสอบถามว่า ตำรวจสันติบาล 2 คนยังอยู่หรือไม่แล้วบอกว่าสารวัตรสืบประสานขอรับตัวกลับ โดยภายหลังผู้ต้องหาได้หันมาบอกกับตำรวจว่าปล่อยให้กลับอยู่แล้ว แต่ให้ผู้บังคับบัญชาของตำรวจทั้งสองมารับเอง ซึ่งระหว่างนั้น 3-4 ชั่วโมงกลุ่มการ์ดได้เปลี่ยนกันซักถามและทำร้ายร่างกายผู้กล่าวหา 2 คน ขณะที่กลุ่มการ์ด ได้ใช้ผ้าเย็นเช็ดใบหน้าและลำตัวพร้อมทั้งทาแป้งเพื่อลบรอยบาดแผล แล้วให้ผู้กล่าวที่ 1 กล่าวคำสาบานว่าจะไม่เอาผิดกลุ่มการ์ด กปปส. ก่อนจะพาผู้กล่าวหาที่ 1-2 ไปพบผู้ต้องหา โดยให้นั่งลงกับพื้นซึ่งได้แก้มัดที่มือออกแล้วแต่ยังให้ปิดตาไว้กับกำชับว่าอย่าวิ่งหนี ถ้าหนีจะโดนลูกปืน หลังจากนั้นผู้ถูกกล่าวหาได้ซักถามผู้กล่าวหาทั้งสองต่อหน้าสื่อมวลชนประมาณ 30 นาที ซึ่งมีการเผยแพร่ทั้งภาพนิ่ง-วีดีโอ ลงยูทูปกับเว็บไซต์ข่าวหลายสำนัก ต่อมาเวลา 17.00 น.วันเดียวกัน ผู้บังคับบัญชาของผู้กล่าวหา ได้โทรศัพท์คุยกับผู้ต้องหาเพื่อขอรับตัวกลับ กระทั่งเวลา 18.30 ผู้ต้องหาจึงปล่อยตัวทั้งสอง ภายหลังผู้กล่าวหาทั้งสองถูกส่งตัวไปรักษาตัวที่ รพ.ตำรวจ การกระทำของกลุ่มการ์ด กับพวกที่ยังไม่ทราบว่าเป็นใครอีก 7 คน ซึ่งปกปิดวิธีดำเนินการแต่งกายชุดดำอำพรางใบหน้า ได้กระทำตามความมุ่งหมายของผู้ต้องหา โดยทำร้ายผู้กล่าวหาที่ 1 มีแผลฟกช้ำ ใบหน้าและกลางอก , บาดแผลฉีกขาดริมฝีปาก , เยื่อแก้วหูฉีกขาดทั้ง 2 ข้าง , กระดูกซี่โครงขวาด้านหลังหัก และตับฉีกขาด ใช้เวลารักษานาน 6 สัปดาห์ ส่วนผู้กล่าวหาที่ 2 ได้รับบาดเจ็บแผลถลอกหน้าผากขวา 3 X 4 ซม. , แผลฟกช้ำตามร่างกายหลายแห่ง และโหนกแก้มซ้าย คางซ้าย ฟันซ้ายล่าง หักบิ่น และฟกช้ำกลางอก ต้นแขนขวา การกระทำของผู้ต้องหา และการกระทำของผู้ต้องหากับพวก ที่ทำให้ผู้กล่าวหาทั้งสองถูกประทุษร้ายต่อทรัพย์ อีกหลายรายการ รวมมูลค่า 60,900 บาท เป็นความผิด เหตุเกิดที่แขวงทุ่งสองห้อง เขตหลักสี่ กทม. ซึ่งพนักงานสอบสวน ได้รวบรวมพยานหลักฐานแล้วยื่นคำร้องขอศาลอาญาออกหมายจับ เมื่อวันที่ 23 พ.ค.61 โดยศาล ได้ออกหมายจับผู้ต้องหา เลขที่ 1115/2561 ลงวันที่ 23 พ.ค.61 กระทั่งวันที่ 24 พ.ค. พนักงานสอบสวนได้รับผู้ต้องหาตามหมายจับไว้ พร้อมแจ้งข้อหา ฐานใช้ผู้อื่นให้ร่วมกันทำร้ายร่างกายเจ้าพนักงานซึ่งกระทำการตามหน้าที่ หรือเพราะเหตุที่จะกระทำตามหน้าที่ จนเป็นเหตุให้เกิดอันตรายแก่กายจิตใจ อันทำให้ได้รับอันตรายสาหัส , เป็นผู้ใช้ให้ผื่นอื่นร่วมกันหน่วงเหนี่ยวกักขังให้เจ้าหน้าพนักงานซึ่งกระทำตามหน้าที่ปราศจาก เสรีภาพในร่างกายและเป็นเหตุให้ได้รับอันตรายสาหัส , เป็นผู้ใช้ผู้อื่นร่วมกันตั้งแต่ 5 คนขึ้นไป ข่มขื่นใจให้ผู้อื่นกระทำการใด หรือจำยอม โดยทำให้กลัวว่าจะเกิดอันตรายต่อชีวิต ร่างกาย เสรีภาพ ชื่อเสียง หรือทรัพย์สิน โดยใช้กำลังประทุษร้าย โดยผู้ถูกข่มขืนใจต้องกระทำการนั้น ไม่กระทำการนั้น หรือจำยอมต่อสิ่งนั้น โดยอ้างอำนาจอั้งยี่ หรือซ่องโจร, เป็นผู้อื่นให้ปล้นทรัพย์ ให้ผู้อื่นได้รับอันตรายแก่กายและจิตใจ เป็นเหตุให้ผู้อื่นได้รับอันตรายสาหัส และเป็นหัวหน้าผู้จัดการหรือผู้มีตำแหน่งหน้าที่ในอั้งยี่หรือซ่องโจร ซึ่งได้กระทำความผิดตามความมุ่งหมายของอั้งยี่หรือซ่องโจร อันเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 296 , 298 , 310 วรรคสอง , 309 วรรคสองและวรรคสาม , 339 วรรคสอง , 340 วรรคแรกและวรรคสาม , 213 ประกอบ ม. 84 ในชั้นสอบสวนผู้ต้องหาให้การปฏิเสธตลอดข้อกล่าวหา ซึ่งคดีนี้ “พนักงานสอบสวน” ได้ขอคัดค้านการให้ประกันตัวผู้ต้องหาด้วย เนื่องจากเกรงว่า ผู้ต้องหาจะเข้าไปยุ่งเหยิงพยานหลักฐานจนเป็นอุปสรรค ก่อความเสียหายต่อการสอบสวน และเกรงว่าจะหลบหนี คดีที่สอง “ปลอมพระปรมาภิไธย” ระบุพฤติการณ์สรุปว่า เมื่อวันที่ 10 เม.ย.60 นายวิชัย ประเสริฐสุดสิริ ได้เข้าทุกข์กล่าวโทษ ต่อพนักงานสอบสวน กก.5 บก.ป. ให้ดำเนินคดี กับผู้ต้องหา ที่นำอักษรพระปรมาภิไธย ภ.ป.ร. และอักษรพระนามาภิไธย ส.ก. มาประดิษฐานหลังองค์พระเครื่องโดยไม่ได้รับพระราชทาน พระบรมราชานุญาตจากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช บรมราชบพิตร และสมเด็จพระนางเจ้าพระบรมราชินีนาถ ในรัชกาลที่ 9 โดยนายวิชัย ผู้กล่าวหา ได้ตรวจพบทางเว็บไซต์ว่าพระเครื่องดังกล่าว มีการสร้างเมื่อช่วงเข้าพรรษาปี 2554 บรรจุปรอทเมื่อวันที่ 15 ส.ค.54 ซึ่งถือว่าเป็นวันที่สร้างพระสำเร็จ ผู้กล่าวหาเห็นว่าการกระทำดังกล่าวไม่ชอบด้วยกฎหมาย จึงร้องทุกข์ให้ดำเนินคดีฐานหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ , ปลอมขึ้นซึ่งพระปรมาภิไธย และใช้พระปรมาภิไธยที่มีการปลอมขึ้น ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112, 250, 252 สำหรับประวัติของ อดีตพระสุวิทย์ หรืออดีตหลวงปู่พุทธะอิสระ อดีตเจ้าอาวาสวัดอ้อน้อย อำเภอกำแพงแสน จังหวัดนครปฐมนั้น เกิดที่กรุงเทพมหานคร เมื่อวันที่ 1 มกราคม พ.ศ. 2499 เป็นบุตรของนายชมภู และนางอัมพร ทองประเสริฐ อุปสมบทครั้งแรกเมื่ออายุ 20 ปี ที่วัดคลองเตยใน เขตคลองเตย จากนั้นได้สึกไปรับราชการทหาร และอุปสมบทอีกครั้งจังหวัดพัทลุงเมื่อ พ.ศ. 2526 มีฉายาว่า "ธมฺมธีโร" เป็นผู้ริเริ่มสร้างวัดอ้อน้อยจากที่ดินบริจาคที่ตำบลห้วยขวาง อำเภอกำแพงแสน จังหวัดนครปฐม ตั้งแต่ พ.ศ. 2532 และได้รับแต่งตั้งเป็นเจ้าอาวาสวัดอ้อน้อยเมื่อ พ.ศ. 2538 ได้รับแต่งตั้งเป็นเจ้าคณะตำบลห้วยขวาง แทนเจ้าคณะรูปเดิมที่มรณภาพไปเมื่อ พ.ศ. 2542 จากนั้น ได้ลาออกจากตำแหน่งเจ้าคณะตำบลห้วยขวาง พร้อมกับสึกและอุปสมบทใหม่ เมื่อเดือนตุลาคม พ.ศ. 2544 มีฉายาใหม่ว่า " ธีรธมฺโม" อดีตพระพุทธอิสระ นับว่า มีความใกล้ชิดกับคณะรักษาความสงบเรียบร้อยแห่งชาติ จะเห็นได้เมื่อวันที่ 27 มกราคม 2555 พลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ ขณะนั้นดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม อดีตผู้บัญชาการทหารบก(ผบ.ทบ.) พลเอกสมทัต อัตตะนันทน์ ผู้บัญชาการทหารสูงสุด (ผบ.สส.ขณะนั้น) และพลเอกอนุพงษ์ เผ่าจินดา (อดีตผบ.ทบ.) และ พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ขณะนั้นดำรงตำแหน่ง ผบ.ทบ. เป็นประธานเททองหล่อพระเกตุมาลาพระนาคปรก "ปกเกล้า ปกแผ่นดิน" และยกองค์ฐานองค์พระฯขึ้นประดิษฐาน ที่วัดอ้อน้อย อดีตพระพุทธอิสระ เป็นพระที่มีบทบาทเคลื่อนไหวทางการเมือง โดยในระหว่างการบริหารของรัฐบาลน.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ระหว่าง 2556–2557 ได้เข้าร่วมกับกปปส. ชุมนุมขับไล่รัฐบาลโดยได้ขึ้นเวทีแสดงธรรมและให้กำลังใจผู้ชุมนุมหลายครั้ง ในหลายสถานที่ ทั้งอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย, กระทรวงการคลัง และศูนย์ราชการแจ้งวัฒนะ ตั้งแต่วันที่ 13 มกราคม พ.ศ. 2557 ที่ทางกปปส.ได้เริ่มให้มีการชุมนุมแบบปิดการจราจรในหลายพื้นที่ของกรุงเทพมหานคร และแยกเวทีชุมนุมออกเป็นหลายเวที นายสุวิทย์ได้เป็นแกนนำของผู้ชุมนุมที่เวทีแจ้งวัฒนะอีกด้วย โดยถือเป็นเวทีที่อยู่ห่างไกลเวทีอื่นและแกนนำคนอื่น ๆ มากที่สุด หลังการยึดอำนาจ เมื่อวันที่ 22 พฤษภาคม 2557 การชุมนุมได้ยุติลง มีการดำเนินคดีกับแกนนำผู้ชุมนุมจำนวน 43 คน อาทิ ข้อหากบฎ และความผิดอื่นรวม 8 ข้อหา ซึ่งมีชื่้ออดีตพระพุทธอิสระรวมอยู่ด้วย จนเมื่อวันที่ 24 พฤษภาคม 2561 ผ่านวันครบรอบ 4 ปี คสช.มา 2 วัน ก็ได้มีการบุกเข้าจับกุมอดีตพระพุทธอิสระ และศาลไม่ให้ประกันตัว ต้องลาสิกขาบท เข้าเรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ นายสุวิทย์ พูดสั้นๆว่า ตำรวจทำถูกแล้ว ที่ได้ดำเนินคดีกับทุกฝ่าย   ข้อมูลบางส่วน วิกิพีเดีย