ตร. บุกค้น! โรงงานบางพลี ผงะ พบ"ขยะพิษ"อื้อ

by ThaiQuote, 19 มิถุนายน 2561

วันนี้ ( 19 มิ.ย.) พล.ต.อ.วิระชัย ทรงเมตตา รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (รอง ผบ.ตร.) พร้อมเจ้าหน้าที่ กระทรวงอุตสาหกรรม เดินทางเข้าค้นโรงงานคัดแยกขยะอิเล็กทรอนิกส์ บริเวณ อ.บางพลี จ.สมุทรปราการ เนื่องจากถูกกล่าวหาว่า ลักลอบปล่อยน้ำเสียลงในแหล่งน้ำสาธารณะ  เบื้องต้นจากการเข้าตรวจค้น พบว่า โรงงานดังกล่าวเป็นที่ตั้งของบริษัท อิเลคโทร เคมีคอล เทคโนโลยี่ จำกัด สำหรับการตรวจค้นโรงงานแห่งนี้ ขยายผลมาจากการลักลอบนำเข้าขยะอิเล็กทรอนิกส์ โดยมีการสำแดงเท็จ ขออนุญาตประกอบกิจการแบบพิมพ์ หล่อเล็ก แต่ได้ลักลอบนำขยะอิเล็กทรอนิกส์และขยะอันตรายเข้ามาจำนวนมาก โดยเฉพาะ จอแก้ว ซึ่งเป็นจอทีวี มีรังสีแคโทด (cathode ray) สารตะกั่ว และสารปรอท และยังไม่มีโรงงานใดในประเทศไทยสามารถกำจัดได้ เป็นจอทีวีตกรุ่นแล้ว จึงห้ามนำเข้าทุกกรณี "เป็นการนำเข้าสินค้าอันตรายโดยไม่ได้รับอนุญาต เป็นความผิดตามพระราชบัญญัตินำเข้าและส่งออกไปนอกประเทศ ตามมาตรา 20 โทษจำคุก 10 ปีและปรับ 5เท่าของมูลค่าสินค้าที่นำเข้ามา" พล.ต.อ.วิระชัย กล่าว ก่อนระระบุว่า จากการเข้าตรวจค้นโรงงานผิดกฎหมาย จำนวน 16 บริษัท ส่วนใหญ่ไม่มีป้ายชื่อโรงงาน ไม่มีเลขที่โรงงาน เพื่อไม่ให้ใครรู้กลัวถูกตรวจสอบ และ จากการตรวจค้นเบื้องต้น พบรถยนต์ที่ปรากฏในโรงงาน มีการนำทะเบียนมาสวม ตำรวจจะยึดรถเป็นขอกลาง และขยายผลต่อไป นำเข้าขยะอิเล็กทรอนิกส์เข้ามาได้อย่างไร เมื่อไหร่ โดยใคร ผ่านมาอย่างไร ความจริงจะปรากฏ พล.ต.อ.วิระชัย กล่าวว่า การตรวจสอบพบหลักฐานโยงใยมากกว่าที่คิด ปรากฏชื่อ บริษัท หวางเสี่ยวตง อิเล็กทรอนิกส์ จำกัด ตรงกับทะเบียนรถที่จอดในโรงงานแห่งนี้โดยไม่ได้นัดหมาย  เป็นเครือข่ายเดียวกัน  โดยมี บริษัท ไทย เอ็นเตอร์ไพรส์ กรุ๊ป จำกัด นำเข้าขยะอิเล็กทรอนิกส์ ไม่ได้รับอนุญาต ไปส่งที่คลองด่าน ลงที่ร้านรับซื้อของเก่า และที่แพรกษา สมุทรปราการ ทั้งนี้ข้อมูลจากกรมพัฒนาธุรกิจการค้า ระบุว่า บริษัท อีเลคโทร เคมีคอล เทคโนโลยี่ จำกัด จดทะเบียนเมื่อวันที่ 16 มี.ค. 2536 ทุนปัจจุบัน 20 ล้านบาท ตั้งอยู่ที่ 79/143 ม.19 ซ.ธนสิทธิ์ ต.บางพลีใหญ่ อ.บางพลี จ.สมุทรปราการ แจ้งประกอบธุรกิจผลิตส่วนประกอบอิเล็กทรอนิกส์  ปรากฏชื่อนายพศิน ตันติพิบูลย์ มีผู้ถือหุ้น 5 ราย เป็นคนไทยทั้งหมด  แจ้งงบการเงินล่าสุดเมื่อปี 2557 รายได้รวม 361,072 บาท รายจ่ายรวม 4,703,223 บาท ดอกเบี้ยจ่าย 758,480 บาท ขาดทุนสุทธิ 5,100,631 บาท