ส่องว่าที่ ผบ.ทบ. ทำไมต้อง’อภิรัชต์’

by ThaiQuote, 20 กรกฎาคม 2561

แม้จะได้ชื่อว่า เป็นลูกของ พล.อ.สุนทร คงสมพงษ์ อดีตผู้บัญชาการทหารสูงสุด และ ประธานคณะรักษาความสงบเรียบร้อยแห่งชาติ (รสช.) แต่คงไม่ได้ตำแหน่งเพราะบารมีของพ่ออย่างแน่นอน แล้วนายทหารคนนี้ มีดีอะไร ถึงได้รับความไว้วางใจจากเหล่าขุนพลแห่งคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ( คสช. ) ให้รับไม้ต่ออำนาจกองทัพบก นายวันวิชิต บุญโปร่ง รองคณบดีฝ่ายกิจการนักศึกษา คณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยรังสิต นักวิชาการผู้เชี่ยวชาญด้านความมั่นคง อธิบายที่มาที่ไปว่า การที่ตั้ง พล.อ.อภิรัชต์ ขึ้นมานั้น มันสะท้อนถึงภาพความมั่นคงทางการเมืองได้เป็นอย่างดี  ยิ่งในขณะนี้ รัฐบาลและกองทัพมีความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน ยิ่งตอกย้ำหลักประกันให้รัฐบาลบริหารประเทศด้วยความสบายใจ “คนที่จะเข้ามารับตำแหน่งนี้ รัฐบาลต้องวางคนที่ได้รับความไว้วางใจ ทำงานร่วมกันได้ เพราะว่า ในรัฐบาลหน้า สิ่งที่จะเกิดขึ้นในวุฒิสมาชิก ตำแหน่งที่นั่งในสภาจะมาจากผู้บัญชาการเหล่าทัพรวมทั้งผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ 6 ตำแหน่ง  เป็นตำแหน่งโดยอัตโนมัติ ทำให้มีหมวก 2 ใบในการทำงาน สามารถเข้าไปวิพากษ์วิจารณ์หรือแสดงในฐานะนักการเมืองในตำแหน่งวุฒิสมาชิกได้ เมื่อพิจารณาแล้ว กองทัพมีอิทธิพลกลับเข้าสู่การเมืองในฐานะผู้เล่นในอีกรูปแบบหนึ่ง ยิ่งทำให้การแต่งตั้งโยกย้ายในปีนี้ เป็นที่จับตามองอย่างมาก ทำให้บุคคลที่คาดหมายว่าจะเป็น ผบ.ทบ.จึงมองมาที่พล.อ.อภิรัชต์ “ รองคณบดีรัฐศาสตร์กล่าวต่อไปอีกว่า ว่าที่ผบ.ทบ. มีความใกล้ชิดและเติบโตในช่วง4-5ปีที่ผ่านมา รับตำแหน่งสำคัญๆในช่วงรัฐบาลนี้เข้ามาบริหารประเทศมาตลอด ไม่ว่าจะเป็นตำแหน่งผู้บัญชาการกองพลที่ 1 รักษาพระองค์ (ผบ.พล.1 รอ.) แม่ทัพภาคที่ 1 เรียกว่าเติบโตในตำแหน่งของไลน์ความอาวุโส ในตำแหน่งสำคัญ ประกอบกับตัวพล.อ.อภิรัชต์ มีอายุราชการที่จะเกษียณในปี 2563 มีผลอย่างมากหากโครงสร้างการอนุญาตหรืออนุมัติให้พระราชกฤษฎีกาว่าด้วยเรื่องการขยายเวลาเกีษยณอายุราชการ เมื่อมีอายุ  63 ปี จะส่งผลอย่างมากในการวางตัวบุคคลเหล่านี้ ไม่แน่ใจว่าทางกองทัพจะใช้เกณฑ์เหมือนที่พระราชกฤษฎีกาประกาศไว้หรือไม่ “ อย่างน้อยจะเห็นรวมทั้งหมด ในเรื่องเสถียรภาพของกองทัพนั้น ไม่มีอะไรน่าเป็นห่วง ในเรื่องการจัดตัวบุคคล คุณสมบัติของพล.อ.อภิรัชต์ ต้นทุนทางสังคมฏิเสธไม่ได้ว่าเป็นลูกชายอดีตประธานคณะรักษาความสงบเรียบร้อยแห่งชาติ (รสช.) เมื่อ 27 ปีที่แล้ว แน่นอนว่าด้วยบุคลิกของพล.อ.สุนทร ที่มีภาพลักษณ์เมตตาผู้ใต้บังคับบัญชา สร้างพระเดชพระคุณไว้ เป็นเหมือนการกรุยทางส่งผลตรงให้พล.อ.อภิรัชต์ ด้วยตัวพล.อ.สุนทร เป็นเสมือนต้นแบบ คนใจถึงพึ่งได้ และเป็นคนให้มอนโต้คำคมที่ว่า ไม่ฆ่าน้อง ไม่ฟ้องนาย ไม่ขายเพื่อน ทำให้นายทหารรุ่นถัดมา นึกถึงและปรับใช้คำคมนี้ มาใช้ในวัฒนธรรมองค์กรทหาร ซึ่งฝังลึกในใจ ทำให้กลายเป็นจุดแข็งในแง่สร้างคุณูปการ ทำให้มีผลต่อการดำรงตำแหน่งของพล.อ.อภิรัชต์ เพราะท่านเติโตในกรมทหารราบที่ 11  ซึ่งเป็นที่รับรู้ว่าเป็นกรมทหารที่มีความจงรักภักดีต่อสถาบันอย่างสูง” นอกจากนี้ นายวันวิชิต ยังวิเคราะห์ต่อไปอีกว่า ไม่ว่าจะเป็นฐานตระกูล ฐานตำแหน่งหน้าที่ก็ดี  บุคลิกลักษณะ พล.อ.อภิรัชต์ แทบจะถอดแบบพล.อ.สุนทร มาไม่ผิดเพี้ยน ใจถึงพึ่งได้ ไม่มีศัตรูกับใครในกองทัพ มีคนรักและให้ความเคารพ ทำให้ส่งผลสะท้อนต่อตัวพล.อภิรัตช์ เอง  การเติบโตในกองทัพผสานไปกับภาพความจงรักภักดีต่อสถาบันอย่างสูง หลายต่อหลายครั้งในวิกฤตทางการเมือง พล.อ.อภิรัชต์วางตัวเป็นกองทัพของสถาบัน ยืนหยัดในความถูกต้อง รวมทั้งการชุมนุมทางการเมือง พล.อ.อภรัชต์ก็มีบทบาทไม่น้อย “ประกอบกับการรับภารกิจสำคัญๆที่รัฐบาลได้รับมอบหมาย ตั้งแต่สมัยพล.อ.ประยุทธ  จันทร์โอชา เป็นผู้บัญชาการทหารบก คงพิจารณามาโดยตลอดว่า ตั้งแต่เป็นผู้บังคับการกรมทหารราบที่ 11 เป็นผู้บัญชาการกองพลที่ 1 รักษาพระองค์ (ผบ.พล.1 รอ.) จนมาเป็นแม่ทัพภาคที่ 1 เห็นฝีไม้ลายมือเป็นอย่างไร ดังนั้นทหารจึงต้องการบุคคลเข้ามากระชับพื้นที่ให้กองทัพมีเอกภาพเป็นหนึ่งเดียว ไม่เป็นทหารการเมือง ไม่เป็นทหารวิ่งเต้น ไม่เข้าหาการเมือง เป็นทหารที่มีศักดิ์ศรี จึงเป็นความโดดเด่นและลงตัวของ พล.อ.อภิรัชต์ “ ก่อนการประชุมกลาโหมที่จะมีขึ้นในวันที่ 25 ก.ค. นี้ เรื่องโผการแต่งตั้งโยกย้าย นักวิชาการสายความมั่นคงท่านนี้มองว่า เมื่อโผหรือธงมาประมาณนี้ และตั้งข้อสังเกตได้ว่า การที่ดึงพล.อ.ณัฐพล นาคพานิช จากเสนาธิการทหารบกเป็นรองผู้บัญชาการทหารบก เป็นการดึงเพื่อนร่วมรุ่นเตรียมทหารรุ่น 20 เพื่อเป็นการยืนยันในเรื่องการสนับสนุนการเติบโตของเพื่อนร่วมรุ่น และเป็นการผ่อนถ่ายตำแหน่งของ 5 เสือทบ.ให้มีความเรียบร้อย สามารถปรับเปลี่ยนได้มากขึ้น “ ถ้าไม่มีอะไรผิดพลาด จะมีอีกคนคือพล.ท.กู้เกียรติ ศรีนาคา แม่ทัพภาคที่ 1และพล.ท.วิจักขฐ์ สิริบรรสพ แม่ทัพภาคที่ 3  เป็นผู้ช่วยผู้บัญชาการทหารบก อีกตำแหน่งน่าสนใจคือ เสนาธิการทหารบก น่าจะเป็นพล.ท.ธีรวัฒน์ บุณยะวัฒน์  และท่านนี้เป็นเตรียมทหารรุ่น 19 ถือเป็นรุ่นพี่ แล้วรุ่นน้องเป็นนาย จะเกิดความลำบากใจในการทำงานหรือไม่ แต่ถ้ามาดูว่าฝ่ายการเมืองต้องการกระจายรุ่น ไม่ให้น้ำหนักถ่วงไปที่เตรียมทหารรุ่นใดรุ่นหนึ่งมากเกินไป เพราะว่า ไม่อยากจะให้กองทัพแข็งมากจนเกินไป ถ้าวันหนึ่งการเมืองในอนาคตเราไม่สามารถคาดเดาอะไรได้ เพระมีบทเรียนทางการเมืองมาแล้ว สมัยรัฐบาลนายทักษิณ ชินวัตร สมัยพล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน อดีตผู้บัญชาการทหารบก และอดีตหัวหน้าคณะปฏิรูปการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ผู้บัญชาการกองทัพเรือ ผู้บัญชาการกองทัพอากาศ เป็นรุ่นเตรียมทหารเดียวกันหมด ดังนั้นจึงกระจายรุ่นเตรียมทหารออกไป “ เมื่อถามว่า การที่จะตั้งพล.อภิรัชต์ ขึ้นมาเป็นผบ.ทบ. เป็นการสร้างฐานอำนาจของ คสช.ให้มั่นคงก่อนถึงการเลือกตั้งหรือไม่ นายวันวิชิตกล่าวว่า  ปฏิเสธไม่ได้ในแง่ความใกล้ชิดของพล.อ.อภิรัชต์ และ คสช. และกองทัพมีฐานอำนาจอยู่ในรูปของ กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในจังหวัด (กอ.รมน.จว.)  “พูดง่ายๆว่า ต้องการทำให้สภาพบ้านเมือง และฝ่ายการเมือง อยู่ในความสงบเรียบร้อยให้มากที่สุด การวางตัวบุคคลที่มีบุคลิกชัดเจนแบบนี้ ผมมองว่าไม่ใช่การป้องปราม แต่เป็นการวางสัญลักษณ์ทางการเมืองอีกแบบหนึ่ง ไม่ว่าใครจะขึ้นมาจะต้องบริหารความสัมพันธ์กับกองทัพอย่างไร ไม่ให้เกิดปัญหากระทบกระทั่งกัน หากผิดไปจากนี้ รัฐบาลใหม่ ไม่ได้ชื่อ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นท่านอื่น จะบริหารความสัมพันธ์ไม่ให้มีปัญหา หรือทำงานใกล้ชิดร่วมมือกันกับกองทัพได้อย่างไร