“มองศก.โลกอนิจา....ประเทศไทย !” (1)

by ThaiQuote, 7 มกราคม 2559

ท่านนายกสมาคมผู้สื่อข่าวเศรษฐกิจ ท่านคณะกรรมการสมาคมท่านสื่อมวลชน และแขกผู้มีเกียรติที่เคารพ ขอบคุณนะครับที่ให้เกียรติผมมาบรรยายในวันนี้ จริง ๆแล้วสมาคมเชิญผมตั้งแต่ปลายปีผมก็ขอเป็นต้นปีก็แล้วกันเพื่อที่จะได้พูดคุยว่าปีนี้จะเป็นยังไง แล้วการที่จัดวันที่ 6 ม.ค.นี่เองคู่แข่งยังน้อยอยู่เพราะคนอื่นยังกลับมาไม่ทัน ทุกคนอยากจะรู้ว่าปีนี้เป็นยังไงเพื่อจะดูตามการประเมิน เดี๋ยวสักครู่ท่านคงจะได้ยินจากสภาพัฒน์ฯ ผมก็จะพูดในสิ่งที่ผมคิดว่าควรจะพูดและก็จะบอกเล่าว่าสิ่งที่จะทำปีนี้คืออะไร

เมื่อตอนวันปีใหม่ข่าวชิ้นแรกที่ได้มีโอกาสอ่านก็คือคำสัมภาษณ์ของกรรมการผู้จัดการใหญ่ของไอเอ็มเอฟ เขาบอกว่าเศรษฐกิจโลกปีนี้น่าผิดหวังแล้วก็เป็นหย่อม ๆ หมายความว่าแต่เดิมที่เขาเคยคิดว่ามันน่าจะดีขึ้นกว่าปีที่แล้ว ปีนี้อาจจะไม่ดีเท่าที่คาดไว้ แล้วก็ถ้ามันจะดีก็ดีเป็นหย่อม ๆ ลักษณะเป็นเช่นนั้น เหตุผลสำคัญที่เขาให้ไว้ก็คือ

ข้อแรกเลยคือกรณีที่ FED ของสหรัฐฯขึ้นดอกเบี้ย เขาก็กังวลว่าการที่ FED ขึ้นดอกเบี้ยในครั้งนี้มันจะมีผลกระทบไป GDP Country ประเทศที่กำลังพัฒนาทั้งหลาย ซึ่งในช่วงเวลาที่ผ่านมานั้นเงินทุนที่เขาอัดฉีดไปในระบบ ท่านคงทราบว่าอเมริกาอัดฉีดเงินเข้าไปเท่าไหร่เป็นเวลา 7 ปีเต็มเพื่อผ่อนคลายทางการเงินโดยการฉีดเงินเข้าระบบ 7 ปีเต็มเป็นจำนวนมูลค่ามหาศาลทีเดียวซึ่งมันไม่ได้อยู่ในอเมริกา มันไปอยู่ในทุกแห่งของโลก พอขึ้นดอกเบี้ยก็เป็นที่กังวลว่าเงินเหล่านี้นี่เวลามันจะไหลกลับมันจะกระทบยังไงบ้างต่อประเทศเหล่านี้ บางประเทศอาจจะมีเงินไหลออกมาก บางประเทศเงินไหลออกน้อย


แล้วเมื่อมันไหลกลับไปสู่อเมริกาแล้วนี่ระบบเศรษฐกิจอเมริกาจะแข็งแรงขึ้นมั้ย จะสามารถรองรับปริมาณเงินจำนวนมหาศาลเหล่านี้ได้สักแค่ไหน แล้วเศรษฐกิจอเมริกานี่แข็งแรงดีพอหรือยังต่อการขึ้นดอกเบี้ย มันจะมีผลทำให้อเมริกานั้นชะลอตัวหรือไม่ในยามที่อียูก็ยังไม่แข็งแรง จีนก็ชะลอตัวลงอย่างเห็นได้ชัด ฉะนั้นการประเมินของไอเอ็มเอฟก็คือว่าโลกใบนี้เหลือประเทศหลัก ๆจริง ๆแล้วนี่คืออเมริกาที่แข็งแรงพอ แล้วถ้าหากว่าประเทศจีนเขาอ่อนแอลงการไหลเวียนของเศรษฐกิจโลกปีนี้มันก็จะขาดพลังเท่าที่ควร ถัดจากวันที่ไอเอ็มเอฟได้ให้สัมภาษณ์เรื่องนี้ก็มีข่าวเรื่องหนึ่งคือดัชนีการผลิตของจีนออกมา ถดถอยติดต่อกันเป็นเดือนที่ 5 ซึ่งเราต้องเข้าใจอย่างหนึ่งว่าการเติบโตของจีนที่ผ่านมา สังคมตะวันตกนี่เขาตั้งคำถามอยู่ตลอดเวลาว่ามันของจริงหรือเปล่า เพราะเมื่อไหร่ก็ตามที่มันตกอย่างต่อเนื่องมันก็เกิดความหวั่นไหวว่าจีนจะเป็นอะไรหรือเปล่า แล้วการที่จีนเป็นประเทศใหญ่ที่สุดที่รองรับการส่งออกจากประเทศต่าง ๆของโลกถือเป็นอู่ข้าวอู่น้ำตลาดที่สำคัญที่สุด การที่จีนตกไปอย่างนี้ ข่าวนี้มันก็ทำให้ตลาดหุ้นทั่วโลกเริ่มตกเริ่มจากประเทศจีนนั่นแหละค่อนข้างจะรุนแรง ฉะนั้นเมื่อมันมีความคิดเห็นจากไอเอ็มเอฟอย่างนี้มีข้อมูลจากประเทศจีนอย่างนี้ หนังสือแม็กกาซีนเศรษฐกิจบางฉบับเขาก็ใช้คำพูดอยู่คำหนึ่ง อ่านแล้วบางทีก็ไม่รู้ว่าดีหรือไม่ดี เขาใช้คำว่า “Engine rates world” คือเป็นปีที่ไม่มีเครื่องยนต์ในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจที่แท้จริง ก็กลายเป็นโลกที่ไม่มีทางนะครับ แล้วนี่คือสิ่งที่เราเห็นในช่วงที่ผ่านมาในต้นปี เมื่อรวมกับภาวะทางการเมืองที่ขณะนี้ของโลกที่มีความตึงเครียดมากขึ้นเรื่อย ๆ ก็ทำให้โลกมองในเชิงที่ค่อนข้างเป็นลบ ไอเอ็มเอฟก็ประเมินภาวะเศรษฐกิจการเติบโตของปีนี้อยู่ที่ประมาณ 3.6 เป็นต้นนะครับ ซึ่งผมก็ยังคิดว่า 3.6 ก็ยังโอเคนะครับ ยังไม่ต้องกังวลมากเกินไป

พอเรามองกลับมาที่เมืองไทย คุณจะชอบหรือไม่ชอบก็แล้วแต่นี่คือสิ่งที่คุณต้องเผชิญ โลกเป็นอย่างนี้ ปัญหาหลักที่เราเป็นห่วงในเมืองไทยขณะนี้ก็คือ เรื่องของราคาสินค้าเกษตรซึ่งมันตกแล้วตกอีก ตรงนี้มันทำให้คนที่อยู่ในเศรษฐกิจฐานรากนี่ลำบาก ต้องยอมรับเลยว่าเขาลำบาก ปีที่ผ่านมานี่จริง ๆรัฐบาลทำอะไรไปแล้วตั้งหลายอย่าง GDPก็เติบโตในอัตราที่คิดว่าพอสมควรทีเดียว พอรับสภาพได้ การที่เศรษฐกิจมันไม่สามารถไปได้ดีนั้นเพราะว่าฐานรากยังไม่ดีเท่าที่ควร เราต้องยอมรับข้อนี้ ฉะนั้นเรื่องของชีวิตเกษตรกรเป็นเรื่องใหญ่มาก ๆเพราะคนเกือบ 30 ล้านคนนี่อยู่ในภาคเกษตร ในระบบที่มี GDPของเขาเพียงแค่ไม่ถึง 10 % เพราะคนส่วนใหญ่จน อำนาจซื้อทั้งประเทศมันก็น้อย เมื่ออำนาจซื้อทั้งประเทศมันก็น้อย เมื่ออำนาจซื้อทั้งประเทศมันน้อยอยู่บนขึ้นมาไม่ว่าจะเป็น SMEs อะไรก็แล้วแต่ การค้าขายมันก็ฝืดเคือง ข้างบนจะค่อย ๆถูกแรงกระทบจากตรงนี้ละครับ เพราะโลกเศรษฐกิจมันเชื่อมโยงกันหมด มันไม่มีใครดีกว่าใคร

 ฉะนั้น Priority ของรัฐบาลชุดนี้ก็คือว่าจะทำยังไงถึงจะช่วยคนจนให้ได้ เราจะไม่พูดถึงเรื่องการเมืองซึ่งเราก็รู้อยู่แล้วเป็นยังไง ข่าวมีอยู่ทุกวันจนบางทีเราก็ไม่อยากจะอ่านด้วยซ้ำไป ว่าทำไมเมืองไทยเราป็นอย่างนี้หนอ

นั่นคือคำทิ้งท้ายที่กำลังบ่งบอกถึงอะไรอดใจไว้ตามกันต่อกับปาฐกถาประเดิมเปิดศักราชใหม่ ปีพ.ศ.2559 กับดร.สมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี รับประกันว่ามีสาระและน่าติดตาม แล้วพบกันใจตอนต่อไป