จากกรณี น.ส.นรีกานต์ ยาวิราช หรือ "น้องหญิง" อายุ 19 ปี เสียชีวิตอย่างเป็นปริศนา จากการตกลงมาจากรถเทรลเลอร์ และพ่อของผู้ตายไม่เชื่อว่าเป็นอุบัติเหตุ โดยพยายามแสวงหาหลักฐานต่างๆ เพื่อมามัดนายสุรพล ดาราคำ หรืออ๊อฟ อายุ 23 ปี ผู้ต้องหาฆ่าผู้อื่นโดยเจตนา เมื่อวันที่ 10 สิงหาคม ที่กองบังคับการปราบปราม(บก.ป) นายอัจฉริยะ เรืองรัตนพงศ์ ประธานชมรมช่วยเหลืออาชญากรรม ได้เดินทางมาเข้าพบพนักงานสอบสวนเพื่อติดตามความคืบหน้าทางคดี โดยมาให้ปากคำเพิ่มเติมเกี่ยวกับโรงพยาบาลการุญเวชน์ที่เจตนาทำลายวัตถุพยาน คือกางเกงในของน้องหญิง ซึ่งได้มาประสานกับพนักงานสอบสวนของกองปราบปรามให้เตรียมขอหมายศาลเพื่อจะไปขอดูกล้องวงจรปิดในโรงพยาบาลการุญเวชน์ โดยก่อนหน้านี้ได้ไปยื่นหนังสือที่สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดพระนครศรีอยุธยาแล้ว เพื่อให้ตรวจสอบว่าสิ่งที่ทางโรงพยาบาลกระทำว่าถูกต้องตามระเบียบของสถานพยาบาลหรือไม่ รวมถึงให้ตรวจสอบกล้องวงจรปิดภายในห้องฉุกเฉินด้วย และทรัพย์สินน้องหญิงที่สูญหายไปให้เอามาคืน   “หลักฐานที่มีอยู่สามารถเอาผิดกับโรงพยาบาลได้อยู่แล้ว เพราะสิ่งที่โรงพยาบาลแถลงออกมามันไม่ใช่ความจริง ไม่ได้มีการนำกางเกงในน้องหญิงใส่ถุงจริง ตอนนี้พนักงานสอบสวนกองปราบก็เตรียมขอหมายศาล ไปเปิดคลิปวงจรปิด และให้ทางสำนักงานประกันสังคมมาร่วมกับทางจังหวัดพระนครศรีอยุธยามาตรวจดูสถานพยาบาลแห่งนี้และจะรู้ข้อเท็จจริงทั้งหมด” นายอัจฉริยะกล่าว   นอกจากนี้นายอัจฉริยะยังกล่าวอีกว่าตอนนี้ทราบว่าผลชันสูตรพลิกศพของน้องหญิงทราบว่าออกมาแล้ว และกองบัญชาการตำรวจภูธรภาค1 กำลังสอบปากคำแพทย์นิติเวชอยู่เบื้องต้นทราบว่า ผลชันสูตรศพน้องหญิงไม่ได้มีการล่วงละเมิดทางเพศ เพราะไม่พบดีเอ็นเอของนายอ๊อฟ แต่ยืนยันว่ามีการต่อสู้บนรถเทรลเลอร์จริง โดยนางสาวเป็ดเองก็ให้การล่าสุดกับตำรวจเมื่อ 2-3 วันที่ผ่านมา ว่าอ๊อฟน่าจะเป็นคนฆ่าและและน้องหญิงไม่ได้กระโดดลงมาเอง แต่นายอ๊อฟก็ยังปากแข็งและไม่ยอมรับ ซึ่งพนักงานสอบสวนก็มีการแจ้งข้อกล่าวหา แก่นายอ๊อฟในข้อหาฆ่าผู้อื่นโดยเจตนา และเจตนากักขังหน่วงเหนี่ยว ไปแล้ว   ส่วนเมื่อกลางดึกวันที่ 9 ส.ค.นายอัจฉริยะ เรืองรัตนพงศ์ ประธานชมรมช่วยเหลือเหยื่ออาชญากรรม ได้ไลฟ์สดเปิดเผยถึงความคืบหน้าในคดีนี้ว่า ได้พา นายสุบิน ยาวิราช อายุ 41 ปี พ่อของน้องหญิง ไปพบกับบริษัทประกันภัยของรถเทรลเลอร์นายสุรพล ดาราคำ หรืออ๊อฟ อายุ 23 ปี ผู้ต้องหาฆ่าผู้อื่นโดยเจตนา โดยหลังเกิดเรื่องบริษัทประกันภัยได้ติดต่อครอบครัวน้องหญิงให้มารับเงินสินไหมทดแทน แต่ทางพ่อของน้องหญิงปฏิเสธที่จะรับเงินจำนวนดังกล่าว เพราะคดีนี้ไม่ใช่เป็นอุบัติเหตุธรรมดา แต่จริงๆแล้วน้องหญิงถูกฆาตกรรม ถ้าเป็นอุบัติเหตุ พ่อน้องหญิงจะได้รับจากหลายๆ ส่วน ก้อนแรกจะได้ประมาณ 6 แสนบาท เมื่อรวมๆกับส่วนอื่นๆ จะได้ประมาณ 1 ล้านกว่าบาท ยังไม่รับกับที่กรมคุ้มครองสิทธิภาพ กระทรวงยุติธรรม และการเรียกร้องสิทธิทางแพ่งกับคนขับรถเทรลเลอร์อีก หากเป็นชาวบ้านทั่วไปก็คงรับเงินจำนวนนี้ไปแล้ว แต่เหตุที่พ่อน้องหญิงเลือกที่จะไม่เอาเงิน 1 ล้าน เนื่องจากตรวจสอบจนรู้ว่าคดีนี้มีการทำกันเป็นกลุ่มหรือขบวนการ เพื่อฉ้อโกงบริษัทประกันภัย