ลงดาบ 3 จนท.พา'ติ่งเกาหลี'บุกรุกสนามบิน

by ThaiQuote, 19 กันยายน 2561

จากกรณีโลกโซเชี่ยลวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนัก หญิงสาว 2 คนที่โพสต์ข้อความในลักษณะบ่งบอกว่าได้ปลอมตัวเข้าพื้นที่หวงห้ามภายในสนามบินสุวรรณภูมิ โดยอ้างว่ามีการใช้เส้นสายจากเจ้าหน้าที่กรมศุลกากรให้สามารถเข้าไปในพื้นที่ด้านในของสนามบิน ซึ่งเป็นพื้นที่หวงห้ามเฉพาะเจ้าหน้าที่ได้ เพื่อให้ได้ใกล้ชิดศิลปินเกาหลี 'อีจงซอก' ที่เดินทางเข้ามาในประเทศไทย เมื่อวันที่ 14 ก.ย. ขณะที่ผอ.ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ สั่งแจ้งความเอาผิดทันที ทั้ง 2 สาว และเจ้าหน้าที่ที่มีส่วนพาเข้าไป ชี้ละเมิดความปลอดภัยสนามบิน โทษหนักถึงคุก 5 ปี ด้านศุลกากรรับเจ้าหน้าที่ทำจริง เตรียมสอบเอาผิดจนท. โทษถึงไล่ออก ตามที่เป็นข่าวไปแล้ว   ความคืบหน้าเมื่อเวลา 11.30 น. วันที่ 18 ก.ย. ที่สภ.ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ อาคาร ผู้โดยสารชั้น 1 อ.บางพลี จ.สมุทรปราการ พ.ต.อ.วิโรจน์ ตัดโส ผกก.สภ.ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ เผยถึงคดีดังกล่าวว่า เนื่องจากคดีนี้ประชาชนให้ความสนใจ ทางผู้บังคับบัญชาจึงสั่งการให้ทำคดีด้วยความละเอียดรอบคอบ โดยท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ได้ส่งเจ้าหน้าที่เข้าแจ้งความร้องทุกข์ต่อพนักงานสอบสวนให้ดำเนินคดีกับหญิงสาว 2 คนในข้อหา "บุกรุกพื้นที่ควบคุม ทสภ.ในเวลากลางคืน" และเจ้าหน้าที่รัฐผู้ชาย ซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่ของสำนักงานตรวจสินค้าท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ อีก 1 คน ที่ปรากฏตามภาพในกล้องวงจรปิด ในข้อหา "สนับสนุนช่วยเหลือในการกระทำความผิดดังกล่าว"   และจากการสืบสวนทราบว่า นอกจากเจ้าหน้าที่ศุลกากรตรวจสินค้าฯ ผู้ชายคนดังกล่าว จะเป็นผู้พาหญิงสาว 2 คนเข้าไปด้านใน ซึ่งปรากฏตามภาพจากกล้องวงจรปิดนั้น ในระบบยังได้บันทึกชื่อของเจ้าหน้าที่ศุลกากรตรวจสินค้าฯผู้หญิงอีก 1 คน ที่เป็นเจ้าของบัตรในการสแกนเข้าพื้นที่ด้านในอีกด้วย ขณะนี้ทางพนักงานสอบสวนจึงออกหมายเรียกไปยังเจ้าหน้าที่ศุลกากรตรวจสินค้าฯ ทั้ง 2 ราย เพื่อให้มารับทราบข้อกล่าวหา และสอบปากคำในรายละเอียดเพิ่มเติมในวันที่ 19 ก.ย. ที่ สภ.ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ หลังจากนั้นจึงจะออกหมายเรียกไปยังผู้หญิงทั้ง 2 คน ซึ่งอายุ 38 ปีและอายุ 25 ปี ให้มาพบพนักงานสอบสวนอีกครั้ง   "แต่ถ้าทั้ง 2 คนนี้สำนึกผิด และต้องการแสดงความบริสุทธิ์ใจ ว่าไม่ได้มีเจตนาจะบุกรุกในพื้นที่หวงห้าม ก็สามารถติดต่อเข้าพบพนักงานสอบสวนได้ทันที โดยไม่ต้องรอหมายเรียกก็ได้ หากไม่มาจะออกหมายเรียกอีกครั้ง และออกหมายจับตามขั้นตอนกฎหมายต่อไป" พ.ต.อ.วิโรจน์กล่าว วันเดียวกัน นายกิตติพงศ์ กิตติขจร รองผอ.ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ เปิดเผยว่า สำหรับเจ้าหน้าที่กรมศุลกากรที่คนแรก ที่นำพาหญิงสาวทั้ง 2 คนเข้าไปในพื้นที่หวงห้ามนั้น จากการพิจารณาเบื้องต้นอาจจะโดนข้อหา "หลีกเลี่ยงการตรวจค้น" ซึ่งถือว่ามีความผิดตาม พ.ร.บ.การเดินอากาศ พ.ศ. 2497 มาตรา 60/17 ระวางโทษจำคุกไม่เกิน 1 ปี ปรับไม่เกิน 4 หมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ ส่วนเจ้าหน้าที่กรมศุลกากรคนที่ 2 ที่บัตรถูกนำไปใช้ในการผ่านเข้าไปพื้นที่หวงห้าม ต้องรอให้เจ้าหน้าที่ตำรวจสอบปากคำก่อน ว่าจงใจให้นำบัตรมาให้ผ่านเข้าพื้นที่ หรือไม่ได้มีส่วนรู้เห็น โดยบัตรอาจจะถูกหยิบไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต ซึ่งหากพบว่ามีเจตนาให้บัตรไปใช้ ก็จะถูกดำเนินคดีข้อหาเดียวกับเจ้าหน้าที่คนแรก   นายกิตติพงศ์กล่าวว่า นอกจากนี้ทอท.ยังได้ตั้งคณะกรรมการสอบข้อเท็จจริง เจ้าหน้าที่ของ ทอท. จำนวน 1 คน ซึ่งทำหน้าที่ตรวจสอบความปลอดภัยจุดผ่านเข้าออกพื้นที่หวงห้าม บริเวณที่ทั้ง 2 คนผ่านเข้าไปด้วย เพราะตรวจสอบพบว่าเจ้าหน้าที่ ทอท.คนดังกล่าวทำงานหละหลวม ปล่อยให้ทั้ง 2 ผ่านเข้าไปยังเขตหวงห้ามได้โดยไม่มีการตรวจสอบความถูกต้องของบัตร แม้ข้อเท็จจริงจะปรากฏว่า ภาพใบหน้าคนของบุคคลใบบัตรที่นำมาแตะไม่ตรงกับใบหน้าของคนที่ผ่านเข้าไป คาดว่าจะใช้เวลาสอบข้อเท็จจริง 10 วัน หากพบว่าประมาทเลินเล่อ ทอท.จะต้องลงโทษเด็ดขาดต่อไป เบื้องต้นได้สั่งย้ายเจ้าหน้าที่คนดังกล่าวออกไปจากพื้นที่เกิดเหตุแล้ว โดยให้ไปประจำอยู่ในพื้นที่ส่วนภายนอกแทน เพื่อไม่ให้ส่งผลกระทบด้านมาตรฐานความปลอดภัยของสนามบิน   "ยอมรับว่าที่ผ่านมา ทอท. เข้มงวดน้อยไปในการตรวจสอบความถูกต้องของบัตรของหน่วยราชการที่เข้าพื้นที่หวงห้าม เพราะมีราชการหลายหน่วยงานมากที่ทำงานภายในสนามบิน บางครั้งก็อาจเห็นว่าเป็นหน่วยราชการด้วยกัน จึงไม่ค่อยเช็กว่า คนที่ผ่านเข้าพื้นที่ใบหน้าตรงกับบัตรที่แตะเข้าไหม ซึ่งหลังจากนี้ ทอท. จะแจ้งขอความร่วมมือไปยังหน่วยราชการที่ทำงานในสนามบิน ว่าต่อไปจะตรวจเข้มงวดมากขึ้น ต้องดูหน้าให้ตรงกับบัตร อาจจะใช้เวลาแต่ต้องขอความร่วมมือ รวมทั้ง ในปี 2562 นี้ ทอท. เตรียมนำระบบการตรวจสอบความปลอดภัยระบบใหม่มาใช้ ณ จุดที่เข้าและออกของสต๊าฟภายในสนามบิน ซึ่งจะเป็นระบบใหม่ที่ทันสมัยมาก โดยเมื่อนำบัตรมาแตะตรงทางเข้า จะปรากฏใบหน้าของเจ้าของบัตรขึ้นมาในจอคอม พิวเตอร์ เจ้าหน้าที่ประจำจุดจะให้เห็นใบหน้าและสามารถเปรียบเทียบกับใบหน้าคนที่ใช้บัตรทันที หากใบหน้าไม่ตรงกันก็จะไม่อนุญาตให้เข้าพ้นที่หวงห้าม คาดว่าจะเริ่มนำมาใช้ในปีนี้" นายกิตติพงศ์กล่าว   นายกิตติพงศ์ยังเผยอีกว่า พื้นที่ที่ทั้ง 2 เข้าไปเป็นพื้นที่บริเวณจุดรับกระเป๋าผู้โดยสารขาเข้า ซึ่งเป็นพื้นที่ชั้นนอกสุดที่ติดกับพื้นที่ร้านค้าภายในสนามบิน หากจะเข้าไปพื้นที่ชั้นในจะต้องผ่านพื้นที่ตรวจคนเข้าเมือง และสแกนตรวจวัตถุระเบิดก่อนจึงจะผ่านไปยังทางออกขึ้นเครื่องได้ จากการตรวจสอบข้อเท็จจริงพบว่าทั้ง 2 คน ไม่ได้ปลอมตัวโดยการเปลี่ยนชุดเป็นเครื่องแบบของกรมศุลกาการ แต่ได้เปลี่ยนเป็นกางเกงขายาว และเดินตามเจ้าหน้าที่ที่นำพาเข้าไป โดยหลังจากเจ้าหน้าที่กรมศุลกากรคนดังกล่าว พาหญิงสาวคนที่ 1 เข้าไปแล้ว ก็นำบัตรใบเดิมมาใช้เวียน กลับมาใช้รับหญิงสาวคนที่ 2 เข้าตามไป   ขณะที่นายประสงค์ พูนธเนศ ปลัดกระทรวงการคลัง และประธานกรรมการ บริษัทท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) หรือ ทอท. เปิดเผยทางกรมศุลฯ ได้ตั้งคณะกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริง เจ้าหน้าที่ทั้ง 3 ราย ที่มีส่วนเกี่ยวข้อง รายแรกเป็นคนที่นำพาคนนอกเข้าไปในพื้นที่ ส่วนอีก 2 คนเป็นคนที่ให้ยืมบัตรหมายเลข 6 และให้ยืมชุดเจ้าหน้าที่ศุลกากร ซึ่งเบื้องต้นได้มีการยึดบัตร และสั่งย้ายออกจากพื้นที่ไปเรียบร้อยแล้ว หลังจากนี้จะใช้เวลาตรวจสอบไม่เกิน 5 วัน โดยมองว่าการตรวจสอบจะรู้ผลไม่ยาก เพราะมีข้อมูลหลักฐาน และกล้องวงจรปิดก็สามารถเปิดดูได้ โดยมีโทษสูงสุดถึงการไล่ออกจากราชการ   นายประสงค์กล่าวว่า เชื่อว่าเจ้าหน้าที่มีเจตนาที่ใช้อำนาจหน้าที่โดยมิชอบ และเรื่องนี้เป็นเรื่องร้ายแรงที่เกี่ยวกับความปลอดภัยของสนามบิน เพราะปกติคนที่ถือบัตรเบอร์ 6 ได้ จะต้องมีหน้าที่โดยตรง และขณะนี้ทางรัฐก็ตั้งกรรมการสอบวินัยแล้ว ส่วนจะมีเรื่องการจ่ายเงินเจ้าหน้าที่เพื่อพาเข้าหรือไม่ ก็เป็นเรื่องคณะกรรมการต้องตรวจสอบ   "ปัจจุบัน ทอท.ติดตั้งกล้องวงจรปิด ซีซีทีวีทุกจุดแล้ว และมีมาตรฐานการตรวจสอบเข้มข้นอยู่แล้ว จึงไม่ต้องทำอะไรเพิ่มเติม เรื่องนี้เป็นปัญหาที่เกิดจากตัวบุคคลที่คิดน้อยเกินไป และ ทอท.ก็มีการแจ้งความทันที จึงเชื่อว่าจะเป็นอุทาหรณ์ ให้เจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องระมัดระวัง และไม่กล้ากระทำผิดอีก ขณะที่บุคคลภายนอกก็อย่าเสี่ยงทำผิดในลักษณะนี้เลยเพราะไม่ คุ้มค่า" ปลัดกระทรวงการคลังกล่าว   ทั้งนี้ก่อนหน้านี้ก็เคยเกิดกรณีใกล้เคียงลักษณะนี้มาแล้ว โดยเป็นเจ้าหน้าที่ตรวจคนเข้าเมือง พาบุคคลภายนอกเข้ามา และก็มีการแจ้งความดำเนินคดีมาแล้วด้วย