“ณพพงศ์ ธีระวร” ย่างก้าวสำคัญของตัวแทน “คนตัวเล็ก” สู่ “พลังประชารัฐ”

by ThaiQuote, 2 ตุลาคม 2561

เหตุผลที่พลิกบทบาทเข้ามาทำงานด้านการเมือง ก่อนอื่นต้องขอบอกว่า เป็นการตัดสินใจครั้งนี้ไม่ง่ายเลย เพราะผมไม่เคยคิดที่จะเล่นการเมือง แต่ประสบการณ์การทำงานให้กับภาคเอกชนในด้านเศรษฐกิจตลอดระยะเวลา 15 ปี  ทำให้ผมเข้าใจปัญหาและข้อจำกัดของประเทศมากมายในการช่วยเหลือคนตัวเล็ก

ผมไม่ได้บอกว่าผมจะเข้ามาปรับเปลี่ยนการเมืองได้ในพริบตา แต่อย่างน้อยขอเป็นส่วนหนึ่งในการผลักดันนโยบายเพื่อแก้ปัญหาและปลดล็อคข้อจำกัดต่างๆให้ได้มากที่สุด เพื่อสร้างความมั่นคงให้กับระบบเศรษฐกิจฐานรากของประเทศ ให้กับพี่น้อง SMEs ที่ถือเป็นกำลังที่สำคัญมากที่สุดในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศ และต้องการลดความเหลื่อมล้ำทางสังคมที่ผมเห็นมันมาตั้งแต่เกิด

ทั้งหมดคือความมุ่งมั่นที่ทำให้ผมได้ตัดสินใจอย่างแน่วแน่ในการก้าวสู่ถนนการเมืองในฐานะ "กรรมการบริหาร" ของพรรคพลังประชารัฐ

 

ต่อจากนี้แนวทางการทำงานจะต้องปรับเปลี่ยนหรือไม่ แนวทางและความมุ่งมั่นของผมไม่เปลี่ยนแปลง บทบาทก่อนตัดสินใจทำงานการเมืองคือ การเป็นประธานกรรมการบริหารสมาพันธ์เอสเอ็มอีไทย ซึ่งเป็นการทำงานให้กับคนตัวเล็ก

ทำงานให้พี่น้อง SMEs ทำงานขับเคลื่อนเศรษฐกิจฐานรากของประเทศเราต่อเชื่อมนโยบายระหว่างภาครัฐให้ไปถึงมือคนตัวเล็ก ซึ่งเราเห็นถึงข้อจำกัดในส่วนของกลไกภาครัฐ  ดังนั้นแนวทางการทำงานด้านการเมืองของผมจึงเป็นไปตามที่เคยทำมา โดยเพิ่มเรื่องของการพยายามลดข้อจำกัดและช่องว่างระหว่างผู้กำหนดนโยบายและกลุ่มเป้าหมายคือผู้ประกอบการ SMEs ซึ่งจากประสบการณ์ของเราน่าจะต่อเชื่อมเพื่อลดช่องว่างตรงส่วนนี้ได้ โดยอาจจะต้องปรับตัวตามกรอบกฎหมายที่กำหนดไว้

ดร.- นักวิชาการ จะช่วยกำหนดนโยบายที่ตรงต่อความต้องการของฐานรากได้จริงหรือ คำว่า ดร. หรือ นักวิชาการ ต้องยอมรับว่าจะต้องผ่านงานด้านวิชาการมา ซึ่งในพรรคก็มีดร.อยู่หลายคน มีทีมเด็กรุ่นใหม่ที่เปิดตัวไป และที่กำลังจะเปิดตัว เหล่านี้ล้วนเป็นคนที่มาจากผู้ปฏิบัติ มาจากภาคเอกชน ซึ่งเรามองเห็นช่องว่าง ข้อจำกัดต่างๆของภาครัฐ และเรามีความมุ่งมั่นที่จะเข้ามาเพื่อเชื่อมต่อ หรือปิดช่องว่างเหล่านั้น เพราะฉะนั้น ดร. หลายๆคนที่เราเห็น แท้จริงแล้วเขาเป็นนักปฏิบัติตัวยง

 

 

กลัวหรือไม่ที่จะต้องต่อสู้กับนักการเมืองอาชีพ เมื่อตัดสินใจแล้วต้องไม่มีคำว่ากลัว อย่างที่กล่าวไปสิ่งที่ทำให้ตัดสินใจคือ เรามองเห็นบางครั้งรัฐออกนโยบายมาแล้วตรงต่อความต้องการของประชาชนจริงๆ แต่มันถูกส่งมาถึงมือของประชาชนหรือผู้ประกอบการ SMEs ยากเหลือเกิน ความยากของกระบวนการเหล่านี้ 

ทำให้ผมซึ่งเป็นกระบอกเสียงของคนตัวเล็กมาตลอดตัดสินใจง่ายขึ้น ว่าควรจะถึงเวลาแล้วที่คนซึ่งรู้เรื่อง เข้าใจ อยู่กับปัญหาของSMEs มาโดยตลอดจะต้องเข้ามาร่วมคิดร่วมทำ และหากมีเราคนเดียวพลังก็คงจะน้อยเกินไป ผมจึงชักชวนเพื่อนๆ หรือคนที่มีความคิดเห็นตรงกัน อยู่ในวงการเดียวกัน เข้ามาช่วยรวมพลังทำงานกับ พรรคพลังประชารัฐ เพื่อร่วมกันขับเคลื่อนเรื่องราวดีๆให้ไปสู่มือของพี่น้อง SMEs ได้ง่ายขึ้น  ดังนั้นความกลัว จึงถือเป็นเรื่องที่เล็กมากทันที หากนับกับความเดือดร้อนของผู้ประกอบ

แนวทางของพรรคจะหยิบยกเอาเรื่อง SMEs มาเป็นหลัก หากดูจากภาพรวมของกรรรมการบริหารพรรคแต่ละคนมาจากทุกภาคส่วน ดังนั้นแนวทางของพรรคจึงพร้อมดูแลในทุกภาคส่วน ในทุกมิติของประเทศ ซึ่งแนวทางที่เด่นคือการช่วยเหลือและพัฒนาเศรษฐกิจฐานราก แน่นอนว่าจะต้องประกอบไปด้วยผู้ประกอบการ SMEs และนี่คือส่วนหนึ่งที่เราเข้ามาร่วมกันเพื่อที่จะต่อเชื่อมนโยบายไปถึงคนตัวเล็กอย่างแท้จริง

มั่นใจว่าการลงมาเล่นการเมืองจะมีโอกาสช่วยเหลือคนตัวเล็กได้มากขึ้น “เล่นการเมือง” ผมคงไม่เล่น แต่จะทำงานด้านการเมืองด้วยความตั้งใจและมุ่งมั่น โดยมีความเชื่อมั่นว่าการเข้ามาทำงานตรงนี้จะเป็นประโยชน์ให้กับคนตัวเล็ก

เป็นกระบอกเสียง ลดช่องว่างของนโยบายที่ถูกส่งถึงมือคนตัวเล็กได้มากขึ้นกว่าในช่วงที่ผ่านมา นี่คือแนวความคิดของนักการเมืองหน้าใหม่จากค่าย “พลังประชารัฐ” ด้วยความที่คลุกคลีอยู่ในวงการ SMEs เป็นเวลานาน ประสบการณ์ที่พบเจอจะช่วยสานต่อนโยบายรัฐให้เข้าถึงผู้ประกอบการได้ตรงเป้าหรือไม่ คงจะต้องรอคำตอบในการเลืองตั้งครั้งนี้