รวบ"ปริญญา"คาสุวรรณภูมิ โกงบิทคอยน์ 797 ล้าน

by ThaiQuote, 12 ตุลาคม 2561

รายงานข่าวจากกองปราบปรามเปิดเผยว่า เมื่อเวลาประมาณ 23.30 น. วันที่ 10 ต.ค.ที่ผ่านมา พ.ต.อ.จิรภพ ภูริเดช รักษาราชการแทนผู้บังคับการกองปราบปราม (รรท.ผบก.ป.) ได้รับการประสานงานจากเจ้าหน้าที่ตำรวจ บก.ตม.2 (ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ) ว่าได้จับกุมตัวผู้ต้องหารายสำคัญตามหมายจับของศาลอาญาตามคำร้องขอของพนักงานสอบสวนกองปราบปราม จึงได้สั่งการให้เจ้าหน้าที่ เดินทางไปประสานงาน ก่อนจับกุมตัว นายปริญญา จารวิจิตร ผู้ต้องหาตามหมายจับศาลอาญาเลขที่ 1693/2561 ลงวันที่ 26 ก.ค. 2561 ข้อหาร่วมกันฟอกเงินและร่วมกันฉ้อโกง ก่อนจะรีบนำตัว นายปริญญา เดินทางมาสอบสวนที่กองปราบปรามตลอดทั้งคืนที่ผ่านมาโดยอนุญาตให้ทนายความเข้าร่วมสอบสวนด้วย การจับกุมครั้งนี้สืบเนื่องจาก ก่อนหน้านี้ นายเออาร์นี่ โมตาวา ซาริมา อายุ 23 ปี เจ้าพ่อเงินอิเล็คทรอนิคตระกูลบิตคอยน์ชาวฟินแลนด์ได้เข้าแจ้งความกับ พ.ต.อ.ชาคริต สวัสดี รองผบก.ป. ระบุว่า นายปริญญากับพวกได้ร่วมกันฉ้อโกงเงินบิตคอยน์มูลค่าประมาณ 797 ล้านบาทด้วยการหลอกลวงให้ร่วมลงทุนในตลอดหลักทรัพย์แต่กลับมีการถ่ายเทเงินไปยังที่ต่างๆโดยไม่ได้ทำตามที่ตกลงกันไว้ ต่อมาพนักงานสอบสวนกองปราบฯได้สอบสวนขยายผลจนพบว่าคดีนี้มีผู้กระทำความผิดประกอบด้วย นายปริญญา ที่เป็นหัวโจกสำคัญในคดี นายธนสิทธิ์ จารวิจิตร นายจิรพิสิษฐ์ หรือบูม จารวิจิตร ดารานักแสดง น.ส.สุพิชฌาย์ จารวิจิตร สี่พี่น้อง และนายวิสิทธิ์ จารวิจิตร และนางเลิศฉัตรกมล จารวิจิตร บิดาและมารดา รวมทั้งนายประสิทธิ์ ศรีสุวรรณ ผู้กว้างขวางในตลาดหลักทรัพย์ และนายชาคริส อาห์มัด ผู้บริหารบริษัทเอกชนแห่งหนึ่ง แต่ นายประสิทธิ์ และนายชาคริส นั้นผู้เสียหายได้มาถอนแจ้งความไปแล้วหลังจากตกลงชดใช้ค่าเสียหายกันได้เมื่อเดือนกันยายนที่ผ่านมา ส่วนผู้ต้องหารายอื่นพนักงานสอบสวนได้ทยอยแจ้งข้อหาไปแล้วในฐานความผิดเกี่ยวกับร่วมกันฟอกเงินและร่วมกันฉ้อโกง ในขณะที่นายปริญญาได้หลบหนีไปสหรัฐอเมริกาก่อนที่หมายจับจะออกเพียงไม่กี่วัน การจับกุมตัวนายปริญญา ผู้ต้องหารายสำคัญในคดีนี้นั้น สืบเนื่องจาก พ.ต.อ.ชาคริต ได้ทำหนังสือไปยังกระทรวงการต่างประเทศเพื่อให้ยกเลิกหนังสือเดินทางของนายปริญญาเพื่อกดดันตัวให้เดินทางกลับมาดำเนินคดีในประเทศไทยต่อมากระทรวงการต่างประเทศได้ทำเรื่องยกเลิกหนังสือเดินทางตามที่กองปราบฯร้องขอ ทำให้นายปริญญาจำเป็นต้องเดินทางกลับเนื่องจากไม่สามารถอยู่ในสหรัฐอเมริกาได้ กระทั่งวันที่ 10 ต.ค. เวลาประมาณ 23.20 น. เจ้าหน้าที่ชุดจับกุมได้รับแจ้งจากฝ่าย ตม.ขาเข้า ตม.ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ว่าจะมีบุคคลตามหมายจับเดินทางเข้ามาในราชอาณาจักรจึงพร้อมกำลังเข้าตรวจสอบบริเวณฝ่าย ตม.ขาเข้าโซนตะวันตก โดยพบ นายปริญญา เดินทางกับสายการบินเอเซียนน่าแอร์ไลน์ เที่ยวบินที่ OZ741 ที่เดินทางมาจากประเทศเกาหลีโดยมีต้นทางมาจากประเทศสหรัฐอเมริกา เมื่อตรวจสอบพบว่าเป็นผู้ต้องหาตามหายจับดังกล่าวจึงเข้าควบคุมตัวและแจ้งข้อหาให้ทราบทันทีก่อนที่จะควบคุมตัวมาสอบสวนเพิ่มเติมโดยเบื้องต้นผู้ต้องหายังให้การปฏิเสธ พ.ต.อ.ชาคริต กล่าวว่า หลังการจับกุมตัว ได้กำชับให้พนักงานสอบสวนสอบปากคำผู้ต้องหาอย่างละเอียดโดยจะนำตัวไปฝากขังต่อศาลอาญาเวลา 09.30 น. วันที่ 12 ต.ค.นี้ ซึ่งพนักงานสอบสวนอาจจะพิจารณาคัดค้านการประกันตัวเนื่องจากก่อนหน้านี้ผู้ต้องหามีพฤติกรรมที่จะหลบหนี เบื้องต้นผู้ต้องหาได้ให้การปฏิเสธตลอดข้อกล่าวหาและยังให้การวกวนไม่ตรงกับข้อเท็จจริงหลายประการ ส่วนการดำเนินคดีกับผู้ต้องหารายอื่นๆนั้น ขณะนี้คงเหลือแต่ผู้ต้องหาในตระกูลจารวิจิตรเท่านั้น ล่าสุดพนักงานสอบสวนได้นัดให้ นายวิสิทธิ์ จารวิจิตร และ นางเลิศฉัตรกมล จารวิจิตร บิดาและมารดา รวมทั้ง นายธนสิทธิ์ พี่ชายของ นายปริญญา เดินทางมารับทราบข้อกล่าวหาเพิ่มเติมในวันที่ 17 ตุลาคมที่จะถึงนี้ หากผู้ต้องหาทั้งสามคนมาพบพนักงานสอบสวนก็จะแจ้งข้อหาร่วมกันฟอกเงิน เนื่องจากมารดาของนายปริญญาได้รับโอนเงินมาจากลูกชายก่อนที่จะยักย้ายถ่ายเทเงินไปให้กับบิดาของนายปริญญา ส่วน นายธนสิทธิ์ ก็มีพฤติกรรมเช่นเดียวกันคือรับโอนเงินมาจากนายปริญญาแล้วยักย้ายถ่ายเทไปให้กับบุคลอื่นๆซึ่งเป็นพฤติกรรมการกระทำความผิดฐานฟอกเงิน ขณะที่ นายปริญญา กล่าวเพียงว่า ยังไม่ขอให้รายละเอียดขณะนี้กำลังปรึกษากับทีมทนายความว่าจะให้การกับพนักงานสอบสวนอย่างไรบ้างและกำลังพิจารณาเรื่องยื่นประกันตัว หากให้การกับพนักงานสอบสวนเรียบร้อยแล้วจะให้รายละเอียด เบื้องต้นตนได้ให้การปฏิเสธตลอดข้อกล่าวหา