พระบาทสมเด็จพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ทรงปฏิบัติพระราชกรณียกิจทางด้านอุตสาหกรรมเกษตร อย่างต่อเนื่องและยาวนานนับตั้งแต่ปี 2504 เป็นต้นมา ด้วยทรงรับรู้ถึงปัญหาและความทุกข์ยากของเกษตรกรอันเนื่องมาจากผลิตผลล้นตลาดและราคาตกต่ำ พระองค์ทรงหาแนวทางที่จะช่วยแก้ไข จึงมีพระราชดำริให้จัดทำโครงการต่างๆ ภายใต้โครงการส่วนพระองค์สวนจิตรลดา โครงการโรงงานหลวงอาหารสำเร็จรูป และโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ เพื่อช่วยให้ประชาชนได้มีความสุขอุดมไปด้วยความสมบูรณ์ ในหลวงรัฐกาลที่ 9 ทรงนำหลักการทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีการอาหาร การบรรจุ การพัฒนาผลิตภัณฑ์ เทคโนโลยีชีวภาพ มาประยุกต์ใช้เพื่อส่งเสริมอาชีพของราษฎร และทรงเป็นแบบอย่างในการถ่ายทอดวิทยาการแก่ประชาชน ซึ่งมีประโยชน์ต่อการพัฒนาอุตสาหกรรมเกษตร และส่งเสริมเศรษฐกิจของประเทศแบบยั่งยืน พระราชกรณียกิจด้านอุตสาหกรรมเกษตร ทำให้ประชาชนให้สามารถพึ่งตนเองได้ และพัฒนาชุมชนควบคู่กันไป โดยทรงมีพระราชดำริในการจัดตั้งโรงงานหลวงอาหารสำเร็จรูป เพื่อส่งเสริมให้เกษตรกรมีรายได้อย่างเต็มเม็ดเต็มหน่วย ควบคู่ไปกับการพัฒนาชุมชน การจัดตั้งโรงงานหลวงอาหารสำเร็จรูปขึ้นเป็นครั้งแรกนั้น เริ่มที่อำเภอฝาง จ.เชียงใหม่ ทรงพระราชทานพระราชทรัพย์ส่วนพระองค์ให้สถาบันค้นคว้าและพัฒนาผลิตภัณฑ์อาหารสำเร็จรูป มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ และภาควิชาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีการอาหาร คณะเกษตร (ปัจจุบันสังกัดคณะอุตสาหกรรมเกษตร) มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ โดยเป็นโรงงานแปรรูปอาหารจากผลิตผลที่ได้จากชาวเขา ขณะที่ในปัจจุบัน รัฐบาลได้น้อมนำพระราชกรณียกิจดังกล่าว เป็นแนวทางในการพัฒนาอุตสาหกรรมแห่งอนาคต ภายใต้โครงการอุตสาหกรรมแปรรูปเกษตร และอุตสาหกรรมชีวภาพ โดยนโยบายดังกล่าวจะเชื่อมโยงภาคของอุตสาหกรรมสู่การสร้างเศรษฐกิจฐานรากช่วยให้เกษตรกร และคนในชุมชนมีรายได้ที่เพิ่มขึ้นอย่างยั่งยืน โดยเมื่อเดือนมิถุนายน 2561 กระทรวงอุตสาหกรรม ได้ส่งเสริมให้มีการจัดตั้ง ศูนย์ส่งเสริมและพัฒนาอุตสาหกรรมชีวภาพครบวงจร ในพื้นที่ จ.นครสวรรค์ ภายใต้วงเงินลงทุนรวม 4.1 หมื่นล้านบาท ถือเป็นโครงการความร่วมมือตามแนวประชารัฐ ซึ่งในระยะยาวจะมีแผนขยายการพัฒนาและ สร้างผลิตภัณฑ์ใหม่จากพืชหลักในพื้นที่ เช่น ข้าว และมันสำปะหลัง ขณะเดียวกันได้ส่งเสริมให้ จ.กำแพงเพชร เป็นศูนย์กลางในการผลิตมันสำปะหลัง ควบคู่กับมาตรการผลักดันการใช้เชื้อเพลิงจากผลิตผลการเกษตรให้มากขึ้น แนวทางดังกล่าวพร้อมที่จะขยายไปสู่พื้นที่อื่นทั่วทุกภูมิภาค โดยอาศัยพื้นฐานของผลผลิตด้านเกษตรกรรมในแต่ละพื้นที่ และความต้องการของประชาชนในแต่ละภูมิภาคเป็นปัจจัยในการกำหนดยุทธศาสตร์ ทั้งนี้ผลผลิตจากการเกษตรเมื่อเข้าสู่กระบวนการแปรรูปเกษตรกรรมชั้นสูง หรือกระบวนการอุตฯชีวภาพแล้ว จะเพิ่มมูลค่าผลผลิตให้กับเกษตรกร เพิ่มรายได้และสร้างคุณภาพชีวิตให้กับประชาชนอย่างยั่งยืน เช่น มันสำปะหลัง อ้อย ที่จะแปรรูปสู่การเป็นอาหารทางการแพทย์ จากขั้นต้นที่มีการแปรรูปเป็นเพียงแป้งและน้ำตาล ส่วนเหลือเหลือจากการผลิตจะเป็นวัตถุดิบในการสร้างพลังงานเชื้อเพลิงชีวภาพ หรือ ยางพารา ที่จะแปรรูปไปสู่ ผลิตภัณฑ์ยางคุณภาพ อุปกรณ์ทางการแพทย์ เศษยาง เปลือกไม้และเศษไม้ยาง จะไปสู่เชื้อเพิลงของโรงไฟฟ้าชีวมวล เช่นเดียวกับปาล์มน้ำมัน โดยที่กล่าวมานั้นจะมีหน่วยงานสนับสนุนในแต่ละภูมิภาค ด้วยการจัดตั้งศูนย์ ITC หรือศูนย์ปฏิรูปอุตสาหกรรม ซึ่งจะเป็นศูนย์เพื่อให้องค์ความรู้ด้านเทคโนโลยีการผลิต การออกแบบผลิตภัณฑ์ เป็นพื้นที่จัดตั้งโรงงานต้นแบบเพื่อการพัฒนาต่อยอด และผู้ประกอบการ เกษตรกร วิสาหกิจชุมชนสามารถใช้บริการของศูนย์ดังกล่าวเป็นพื้นที่เพื่อพัฒนาสินค้าขต้นแบบของตนเองได้อีกด้วย นอกจากนี้ กระทรวงอุตสาหกรรม ยังได้สร้างรากฐานของการพัฒนาชุมชน โดยมุ่งหวังให้เกิดรายได้ที่ยั่งยืนแก่คนในชุมชนด้วยการจัดตั้งโครงการหมู่บ้านอุตสาหกรรมสร้างสรรค์ โดยตั้งเป้าให้ได้ 160 หมู่บ้านทั่วประเทศในปี 2562 สำหรับโครงการหมู่บ้านอุตสาหกรรมสร้างสรรค์ (Creative Industry Village:CIV) หรือ หมู่บ้าน CIV เป็นโครงการเพื่อสร้างชุมชนให้เข้มแข็ง โดยการเข้าไปพัฒนาและต่อยอดผ่านกระบวนการถ่ายทอดองค์ความรู้ ด้วยการพัฒนานำเทคโนโลยีและเครื่องมือที่สามารถยกระดับผลิตภัณฑ์ เพื่อการสร้างตลาดใหม่ๆ นำเอาเอกลักษณ์ของชุมชนมาต่อยอดเป็นสินค้าหรือผลิตภัณฑ์เพื่อเผยแพร่ให้เกิดการรับรู้ในวงนอก ซึ่งจะช่วยเพิ่มมูลค่าให้กับสินค้าของชุมชน เพิ่มรายได้ รวมทั้งสร้างอาชีพให้กับคนในชุมชน ผู้สูงอายุ ดึงคนกลับสู่ท้องถิ่น ลดการย้ายถิ่นฐานเพื่อแสวงหางานทำ นี่คือสิ่งที่กระทรวงอุตสาหกรรมได้สนองพระราชปณิธานในหลวงรัชกาลที่ 9 ที่ทรงต้องการให้พสกนิกรของพระองค์อยู่ดี กินดี ในทุกท้องถิ่นทั่วประเทศ ท้ายสุด ปวงชนชาวไทยขอน้อมรำลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณในพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช "พ่อหลวงในดวงใจคนไทย" อย่างหาที่สุดมิได้