คาดราคาผลปาล์ม-น้ำมันปาล์มดิบปีนี้ทรงตัว

by ThaiQuote, 17 ตุลาคม 2561

น.ส.จริยา สุทธิไชยา เลขาธิการสำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร (สศก.) กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยว่า จากปริมาณความต้องการใช้น้ำมันปาล์มในตลาดโลกที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นน้อยกว่าปริมาณการผลิต ทำให้สต็อกน้ำมันปาล์มโลก มีแนวโน้มเพิ่มขึ้น ประกอบกับอินเดียซึ่งเป็นประเทศผู้นำเข้าลำดับที่ 1 ของโลก ที่นำเข้าปีละ 10 ล้านตัน ปรับขึ้นภาษีนำเข้าจาก 15% เป็น 44% ส่งผลทำให้ประเทศผู้ผลิตรายใหญ่ของโลก คือ อินโดนีเซียและมาเลเซียส่งออกได้ลดลง ขณะที่สต็อกน้ำมันปาล์มโลกเพิ่มขึ้น ทำให้ราคาน้ำมันปาล์มดิบในตลาดโลกมีแนวโน้มลดลง โดยในปี 2561 คาดการณ์ว่า ราคาน้ำมันปาล์มดิบในตลาดโลกมีแนวโน้มลดลงและเคลื่อนไหวอยู่ระหว่างกิโลกรัมละ 17.00- 20.50 บาท

นอกจากนี้ ในส่วนเกษตรกรไทยมีการขยายพื้นที่ปลูกอย่างต่อเนื่องในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา เนื่องจากสภาพอากาศที่เอื้ออำนวย ทำให้คาดว่าในปี 2561  จะมีผลผลิตปาล์มน้ำมัน 15.39 ล้านตัน เพิ่มขึ้น 9.15% จาก 14.10 ล้านตันในปี 2560 คิดเป็นปริมาณน้ำมันปาล์มดิบ 2.74 ล้านตัน ในขณะที่ความต้องการใช้ยังคงทรงตัว อยู่ที่ 2.36 ล้านตัน ส่งผลให้สิ้นปี 2561 จะมีสต็อกน้ำมันปาล์มดิบคงเหลือ 0.40 ล้านตัน สูงกว่าระดับที่เหมาะสมคือ 0.25 ล้านตัน และราคาผลปาล์มและราคาน้ำมันปาล์มดิบของไทยในปี 2561 จะทรงตัวอยู่ในระดับต่ำ โดยราคาผลปาล์มที่เกษตรกรขายได้ และราคาน้ำมันปาล์มดิบเคลื่อนไหวอยู่ระหว่างกิโลกรัมละ 2.80 - 3.80 บาท และ 19.00 - 23.00 บาท ตามลำดับ

น.ส.จริยา กล่าวว่า กระทรวงเกษตรฯ ได้ดำเนินการตามแผนยุทธศาสตร์การปฏิรูปปาล์มน้ำมันและน้ำมันปาล์มทั้งระบบ ปี 2560 – 2579 โดยการเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตและลดต้นทุนการผลิต ด้วยการส่งเสริมโครงการปลูกปาล์มน้ำมันโดยใช้ระบบแปลงใหญ่ และผลจากการที่จังหวัดสุราษฎร์ธานี เป็นจังหวัดนำร่อง โดยการผลักดันของผู้ว่าราชการจังหวัด และสภาเกษตรกร จ.สุราษฎร์ธานี พัฒนาคุณภาพปาล์มน้ำมัน โดยการตัดปาล์มสุก ประสานความร่วมมือระหว่างเครือข่ายเกษตรกร ลานเท และโรงงานสกัดฯ ส่งผลให้เกษตรกรในพื้นที่สามารถจำหน่ายผลปาล์มได้ในราคาสูงกว่าราคาทั่วไป สามารถเพิ่มเปอร์เซ็นต์น้ำมันจาก 17% เป็น 17.81% อีกทั้งยังส่งเสริมให้มีการใช้ปุ๋ยให้เหมาะสมกับสภาพพื้นที่และช่วงเวลา

"ได้กำหนดโครงสร้างราคาปาล์มน้ำมันที่เป็นธรรมและให้ระบบการซื้อขายปาล์มน้ำมันแปรผันตามคุณภาพ โดยให้มีคณะทำงานระดับจังหวัด และอำเภอ กำกับดูแล และแก้ไขปัญหาให้เกิดความเป็นธรรมทุกฝ่าย โดยในปี 2559 - 2560 กำหนดให้จังหวัด สุราษฎร์ธานี เป็นจังหวัดนำร่อง และในปี 2561 - 2562 ขยายผลไปยังจังหวัด กระบี่ ชุมพร ตรัง และนครศรีธรรมราช และการปลูกพืช หรือปศุสัตว์ร่วมในสวนปาล์มน้ำมัน เพื่อเพิ่มรายได้ให้กับเกษตรกร" น.ส.จริยา กล่าว