นายสุเมธ ดำรงชัยธรรม กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ บริษัทการบินไทย เปิดเผยว่า มีการเรียกตัวทั้ง 2 คน เข้าพบเพื่อสอบถามข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้น ไม่ได้เป็นการสอบสวน และการพูดคุยครั้งนี้ ไม่มีผลต่อการสอบสวนของคณะกรรมการ ที่จะทำงานอย่างเป็นอิสระ และคาดว่าจะมีการส่งผลสอบสวน เข้ามาภายในสัปดาห์หน้า แต่จากการพูดคุยฝ่ายนักบิน และนายสถานีซูริค พบว่า เป็นปัญหาการสื่อสารของทั้ง 2 ฝ่าย ที่ไม่ได้หารือ และสื่อสารกันให้เข้าใจ รวมถึงทั้งคู่ก็ยึดมั่นปฏิบัติตามกฎในคู่มือของตัวเอง   ปัญหาเกิดจากจุดนี้ เนื่องจากกฎของทั้ง 2 ฝ่ายมีช่องว่าง และการแก้ไขปัญหาที่เกิดจากช่องว่างนั้น ถือว่าไม่เหมาะสม จนกระทบผู้โดยสาร และลุกลามกลายเป็นปัญหาใหญ่โต โดยปัญหาลักษณะนี้มีการทุกที่ ไม่ใช่แค่เฉพาะการบินไทย เบื้องต้นพร้อมเยียวยาผู้โดยสารบนเที่ยวบินดังกล่าวทั้ง 300 คน ในลักษณะให้ไมล์สะสม หรือดูแลเป็นพิเศษ สำหรับเที่ยวบินถัดไป หรือผู้โดยสารขอเลือกสิทธิอื่นๆ ภายใต้พื้นฐานเดียวกัน ที่ไม่มากจนเกินไปได้   อย่างไรก็ตามนายสุเมธ ยอมรับว่า ปัญหาที่เกิดขึ้นทำให้มีความรู้สึกโมโห เนื่องจากได้ส่งผลกระทบต่อแผนฟื้นฟูการบินไทย ที่ต้องส่งให้ นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี พิจารณาภายในระยะเวลา 1 เดือน แต่เมื่อเกิดเหตุการณ์นี้ขึ้นมา คงเป็นไปได้ยากแล้ว โดยจะมีการนำปัญหาดังกล่าว ถอดเป็นบทเรียนในอนาคตต่อไป   นอกจากนี้นายสุเมธยังได้กล่าวถึงสิทธิประโยชน์ที่จะให้กับผู้โดยสารเพื่อเป็นการชดเชยกรณีที่ไม่ได้อัพที่นั่งผู้โดยสารเที่ยวบินซูริก ที่มีปัญหาจากชั้นธุรกิจเป็นชั้นหนึ่ง ว่า เดิมผู้โดยสารซื้อตั๋วเครื่องบินในชั้นธุรกิจ แต่ขากลับมีการเปลี่ยนรุ่นเครื่องบิน ซึ่งมีชั้นหนึ่ง (เฟิร์สคลาส) ให้บริการ ผู้โดยสารเลยได้ปรับที่นั่งจากชั้นธุรกิจเป็นชั้นหนึ่ง แต่ต่อมาไม่ได้อัพ ทางการบินไทยก็มีการชดเชยสิทธิประโยชน์เพิ่มเติมนั้นให้ โดยให้เจ้าหน้าที่ประสานงานและให้สิทธิประโยชน์เต็มที่ แล้วแต่ผู้โดยสารต้องการ เพราะผู้โดยสารแต่ละคนมีความต้องการที่ไม่เหมือนกัน ซึ่งหลักๆ ที่ผ่านมาจะเป็นการให้ไมล์สะสมเพิ่มเติม หรือเที่ยวบินชดเชย เป็นต้น รวมทั้งให้สิทธิประโยชน์กับผู้โดยสารเที่ยวบินดังกล่าวกว่า 300 คนด้วย   ขณะเดียวกัน ยอมรับว่าปัญหาที่เกิดขึ้นเกิดจากระบบ ดังนั้นก็ต้องมาแก้ไขต่อไป ซึ่งในส่วนของนักบินและนายสถานีจะมีคู่มือระเบียบปฏิบัติตามของตนเอง จึงทำให้ไม่มีการสื่อสารระหว่างกัน ส่วนสิทธิประโยชน์ของพนักงาน มองว่าไม่ได้มากกว่าที่เป็นอยู่ และไม่ได้ส่งผลกระทบต่อผลการขาดทุนของบริษัท เพราะปัญหาหลักที่ส่งผลกระทบขาดทุน ส่วนมากจะเป็นเรื่องของ อัตราแลกเปลี่ยน ความเสื่อมของเครื่องบิน น้ำมัน และการดำเนินงานของไทยสมายล์.   นายชัยวัฒน์ ทองคำคูณ ปลัดกระทรวงคมนาคม กล่าวถึงกรณีที่บริษัทการบินไทย ได้มีการตั้งคณะกรรมการขึ้นมาสอบสวนข้อเท็จจริงเหตุเครื่องบิน TG จากซูริค ถึงกรุงเทพฯล่าช้า จนทำให้ผู้โดยสารเดือดร้อน และกระทบต่อภาพลักษณ์การบินไทยว่า จะสอบสวนให้แล้วเสร็จภายใน 5 วัน ซึ่งจะมีการรวบรวมข้อมูลทั้งหมด ทั้งฝ่ายที่เห็นด้วยและไม่เห็นด้วย เมื่อได้ข้อเท็จจริงแล้วจะรายงานให้ นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคมรับทราบ โดยคณะกรรมการที่ตั้งขึ้นมา แม้จะทำงานในการบินไทย แต่ไว้ใจได้และจะไม่มีการเข้าข้างฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง ซึ่งหากเชิญคนนอกเข้ามาการสอบสวนข้อเท็จจริง ก็จะล่าช้าออกไปอีก   พร้อมยอมรับว่า การที่ออกมาวิพากย์วิจารณ์ในสื่อโซเชียลกระทบต่อภาพลักษณ์ของการบินไทย เพราะต่างคนต่างพูดและสนับสนุนอีกฝ่ายหนึ่งก็จะทำให้เกิดความขัดแย้งมากยิ่งขึ้น ดังนั้น ต้องสอบสวนเพื่อให้รู้ข้อเท็จจริง และเรื่องนี้จะไม่ซับซ้อน โดยเชื่อว่าจะได้ข้อเท็จจริงตามที่ได้ระบุไว้ ไม่ใช่เป็นการพูดแบบต่อความยาวสาวความยืด ทั้งนี้ นายอาคม ได้สั่งการให้การบินไทย เร่งสรุปข้อเท็จจริง อย่างไรก็ตาม ขณะนี้ในการบินไทยต้องนิ่งที่สุด เพื่อรอให้คณะกรรมการที่ตั้งขึ้นมาได้ดำเนินการสอบสวนเรื่องที่เกิดขึ้นก่อน