สนข.แจงญี่ปุ่นไม่ได้ล้มรถไฟความเร็วสูงกทม.-เชียงใหม่

by ThaiQuote, 26 ตุลาคม 2561

นายสราวุธ ทรงศิวิไล ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนการขนส่งและจราจร (สนข.) เปิดเผยว่า ประเทศญี่ปุ่นไม่ได้ยกเลิกแผนที่จะเข้าร่วมโครงการพัฒนารถไฟความเร็วสูง เส้นทางกรุงเทพมหานคร-เชียงใหม่ หลังมีการเข้าใจผิดว่าทางการญี่ปุ่นถอนตัวเพราะไม่คุ้มค่าการลงทุน ทั้งนี้ ได้ตั้งคณะทำงานไทย-ญี่ปุ่น เพื่อเร่งศึกษาโครงการดังกล่าวเพื่อให้ได้ข้อสรุปอย่างรอบคอบ และเกิดความคุ้มค่ามากที่สุดสำหรับประเทศไทย

อย่างไรก็ตาม นการหารือล่าสุดฝ่ายไทยได้เสนอให้ฝ่ายญี่ปุ่นพิจารณาใช้รูปแบบการดำเนินงานในลักษณะเดียวกับการลงทุนในโครงการรถไฟความเร็วสูงเท็กซัส ประเทศสหรัฐอเมริกา (Texas High-Speed Railway Project) เมื่อปี 2558 ที่ลงทุนผ่าน Japan Oversea Infrastructure Investment Corporation for Transport and Urban Development (JOIN) โดยมอบหมายให้คณะทำงานทั้ง 2 ฝ่าย (ไทย-ญี่ปุ่น)ร่วมกันศึกษาและหารือในรายละเอียดดังกล่าว เพื่อให้ได้ข้อสรุปเรื่องการร่วมลงทุนในโครงการนี้โดยเร็วต่อไป

"ญี่ปุ่นไม่ได้ตอบปฏิเสธ แต่เห็นว่าการเดินรถอย่างเดียวไม่คุ้มค่า ญี่ปุ่นสนใจจะพัฒนาพื้นที่สองข้างทางแนวรถไฟ ญี่ปุ่นยินดีที่จะสนับสนุนโครงการในรูปเงินกู้แบบพิเศษที่มีดอกเบี้ยต่ำเป็นพิเศษ โดยจากเดิมที่จะลงทุนร่วมกัน 50/50 แต่จากที่หารือ ญี่ปุ่นมีข้อจำกัด  รูปแบบการลงทุนก็ต้องเจรจาต่อไป สัดส่วนการลงทุนปรับไป อาจจะเป็น 70/30 หรือ 80/20...ญี่ปุ่นยังไม่ได้ข้อสรุปจะร่วมลงทุนกับเรารูปแบบไหน"นายสราวุธ กล่าว

อนึ่ง ขณะนี้ ปัจจุบัน กระทรวงคมนาคม และกระทรวงที่ดินโครงสร้างพื้นฐานการขนส่งและการท่องเที่ยวแห่งญี่ปุ่น (MLIT) อยู่ระหว่างการหารือเรื่องรูปแบบการลงทุนโครงการร่วมกัน ซึ่งขณะนี้ยังไม่ได้ข้อสรุป เนื่องจากมีรายละเอียดหลายประเด็นที่ต้องมีการพิจารณาอย่างรอบคอบ ทั้งในส่วนของงานก่อสร้างและงานวางระบบ รวมถึงงานจัดซื้อตัวรถและการซ่อมบำรุง

นอกจากนี้ กระทรวงคมนาคม และ MLIT ได้มีการหารือร่วมกันครั้งล่าสุดในคราวประชุมระดับรัฐมนตรีด้านคมนาคม เมื่อวันที่ 19 ต.ค.2561 โดยฝ่ายไทยยังยืนยันว่าฝ่ายญี่ปุ่นควรร่วมพิจารณาลงทุนกับฝ่ายไทย (Joint Investment) เนื่องจากผลการศึกษาขององค์การความร่วมมือระหว่างประเทศของญี่ปุ่น (JICA) สรุปว่า ต้องมีการพัฒนาพื้นที่ตามแนวเส้นทางและพื้นที่รอบสถานี (TOD) ร่วมด้วย จึงจะเกิดความคุ้มค่าในการลงทุน ซึ่งการดำเนินงานดังกล่าวต้องอาศัยประสบการณ์และความเชี่ยวชาญของญี่ปุ่น ดังนั้น การตัดสินใจลงทุนในโครงการนี้รัฐบาลไทยจึงต้องพิจารณาอย่างรอบคอบอีกครั้ง