สมคิดย้ำ 5 โครงการหลักทีโออาร์ออกก่อนเลือกตั้ง

by ThaiQuote, 1 พฤศจิกายน 2561

นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี กล่าวปาฐกถาพิเศษในงานสัมมนา Forbes Global  CEO Conference ครั้งที่ 18 โดยชักชวนผู้บริหารระดับสูงของธุรกิจต่างชาติให้เข้ามาลงทุนในประเทศไทย โดยให้เหตุผลว่า  แม้ประเทศไทยจะเผชิญความท้าทายด้านต่าง ๆ อย่างมากในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา จนเกิดการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองในที่สุด แต่ทุกวิกฤตการณ์ มีโอกาสอยู่เสมอ รัฐบาลได้ใช้เวลาเพียง 3-4 ปีที่ผ่านมา นำความสงบ สร้างเสถียรภาพทางการเมืองให้กลับคืนมา พร้อมกับหยุดการถดถอยทางเศรษฐกิจ พร้อมกันนี้ยัง วางรากฐานสำคัญที่จะสร้างศักยภาพความเข้มแข็งในอนาคตให้กับประเทศ ซึ่งแม้ทำไม่ได้ทั้งหมด ยังไม่เสร็จสมบูรณ์ แต่เป็นการเริ่มต้นที่มุ่งมั่นและจริงจัง และเป็นครั้งแรกของประวัติศาสตร์การเมืองไทยที่มุ่งการปฏิรูปประเทศเช่นนี้ นายสมคิด ยังกล่าวถึงภาพรวมเศรษฐกิจไทยว่า ตนจะไม่ระบุว่า เศรษฐกิจไทยฟื้นแล้วหรือไม่ เพราะขึ้นอยู่กับว่า แต่ละคนคิดอย่างไร แต่บอกเพียงว่า 3 ปีที่ผ่านมา จากการเป็นประเทศผู้ป่วยแห่งอาเซียน ขณะที่เศรษฐกิจไทยจากโตต่ำกว่าร้อยละ 1  ขณะนี้เศรษฐกิจโตกระโดดขึ้นโตร้อยละ 4.8  แต่ไทยเป็นประเทศเดียวที่ได้รับการปรับจีดีพีให้สูงขึ้นจากกองทุนการระหว่างประเทศ(ไอเอ็มเอฟ)และจากธนาคารพัฒนาเอเชีย(เอดีบี) ไทยมีหนี้ต่างประเทศในสัดส่วนคิดเป็นร้อยละ 40 ของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ(จีดีพี) มีทุนสำรองเงินตราระหว่างประเทศสูงถึง 200,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ดุลบัญชีบัญชีเดินสะพัด ดุลชำระเงินเข้มแข็ง การปรับระดับต่าง ๆ ของไทยดีขึ้น นี่คือสิ่งที่รัฐบาลได้ทำมา นายสมคิด กล่าวว่า ประเทศไทย จะมีการเลือกตั้งต้นปีหน้า นักลงทุนจำนวนมากสอบถามว่า โครงการต่าง ๆ จะสะดุดลงหรือต้องหยุดลงหรือไม่ จึงได้ตอบไปว่า โครงการลงทุนหลักสำคัญๆ ทีโออาร์ จะออกมาก่อนการเลือกตั้งแน่นอนโดยกฎหมายโครงการเหล่านี้ จะต้องเดินหน้าอยู่แล้ว ประเทศไทยมีคณะกรรมการปฏิรูปประเทศ คณะกรรมการยุทธศาสตร์ประเทศ โดยรัฐธรรมนูญไทยการจะไม่ทำตามไม่ใช่เรื่องทำได้ง่ายๆ นายสมคิดกล่าวว่า “สิ่งที่รัฐบาลทำมา คนย่อมเห็นและเรารู้เมืองไทยไปได้ดีกว่านี้ ขอให้ร่วมมือกับประเทศเพื่อนบ้านพัฒนา อาเซียน CLMVT จะเป็นบิ๊กชอร์ตแห่งอนาคต ไม่ต้องกังวลกับจีดีพีที่ขึ้น ๆ ลงๆ ในระยะสั้น มองระยะยาว วันนี้ จึงมาพูดสร้างความมั่นใจว่า อาเซียนมีอนาคต สามัคคีกันเป็นมิตรกับทุกฝ่ายแล้วเราจะไปได้ดี   สิ่งที่ได้ทำมา คนเห็น และเรารู้เมืองไทยไปได้ดีกว่านี้   อาเซียนเป็นบิ๊กชอต ไม่มองระยะสั้น มองระยะยาว อาเซียนมีอนาคต เป็นมิตรกับทุกฝ่ายเราจะไปได้ดี” นายสมคิด ยังระบุถึงตลาดหุ้นไทยว่า  ตลาดหุ้นของไทย ในขณะที่โลกปั่นป่วนเต็มไปด้วยความวิตกกังวล จากสงครามการค้า และปัญหาเศรษฐกิจประเทศเกิดใหม่ แต่ตลาดทุนไทยถือเป็น  Save Haven ที่ดีที่สุดแห่งหนึ่งของโลกในขณะนี้ แม้ตลาดหุ้นจะมีขึ้นมีลง แต่โดยปัจจัยพื้นฐานแล้วตนเชื่อว่า ในภูมิภาคนี้ตลาดหุ้นไทยไม่ได้ด้อยไปกว่าตลาดหุ้นประเทศใดๆ  แม้ตลาดทุนไทยมีขนาดเล็กกว่าของสิงคโปร์ แต่มีขนาดที่ใกล้เคียงกัน บริษัทจดทะเบียนของไทยมีคุณภาพสูงเพราะผ่านวิกฤติต้มยำกุ้งในช่วง 10 กว่าปีที่ผ่านมา โดยเอกชนไทยได้รับบทเรียน​และสร้างความเข้มแข็งมาแล้ว ดังนั้นวิกฤตการณ์เศรษฐกิจในปี ค.ศ.2008 เศรษฐกิจไทยจึงไม่ได้รับผลกระทบ จึงเป็นปัจจัยพื้นฐานที่แข็งแรงมากของตลาดทุนไทย ที่สำคัญประเทศไทยตั้งอยู่กลางของกัมพูชา ลาว เมียนมาร์และเวียดนาม  นักธุรกิจจึงสามารถเข้าไปทำธุรกิจและไปลงทุนตลาดเหล่านี้ได้ สิ่งสำคัญหลายคนยังกังวลว่า เศรษฐกิจโลกข้างหน้าจะเป็นอย่างไร ซึ่งตนมองว่า เศรษฐกิจโลกในวันข้างหน้าจะไม่ดีนัก เศรษฐกิจโลกหดตัวแน่นอน จึงจะมีความผันผวนทางการเงินมาก สิ่งสำคัญคือ  ต้องไม่ประมาท ดังนั้นจึงได้กำชับให้ทุกกระทรวงไม่ประมาท เตรียมพร้อมไว้ เตรียมพร้อมดูแล กระทรวงพาณิชย์ดูตลาดใหม่ๆ เช่น จีนหากเจาะตลาดระดับมลฑลได้โอกาสยังมีหาศาล ด้านอื่นๆ คือ การใช้จ่ายของรัฐบาล ซึ่งขณะนี้ประเทศไทยอยู่ในช่วงที่รัฐบาลลงทุนมาก หากเดินหน้าต่อไปจะเป็นแรงขับเคลื่อนที่สำคัญในปีหน้า ด้านการท่องเที่ยวแม้ตกไปบ้างในช่วงนี้ แต่เชื่อว่า นักท่องเที่ยวจะกลับมาเที่ยวอีก และเชื่อว่าในอนาคตข้างหน้า ตลาดท่องเที่ยวไทยจะยิ่งใหญ่ และหากยังทำหน้าที่ต่อจะพัฒนาการท่องเที่ยวของไทยต่อไป แม้มีความเสี่ยงปีนี้ แต่จะรักษาแรงส่งของการเติบโตทางเศรษฐกิจเอาไว้ ปีหน้าก็จะไปได้ดี ซึ่งบอกไม่ได้ แต่จะทำให้ดีที่สุด นายสมคิด กล่าวว่า  ในทุกวิกฤตมีโอกาส แม้เศรษฐกิจไม่ดี แต่ประเทศไทยมีประตูโอกาสอยู่หน้าบ้าน เพราะขณะนี้ อาเซียนเป็นตลาด ซัพพลายเชน แรงงาน โดยที่ประเทศไทยอยู่ตรงกลางของกลุ่มประเทศอาเซียน  CLMVT ที่มีขนาดตลาดรวมกันมากถึง 250 ล้านคน มีการลงทุนเชื่อมต่อระหว่างกัน ซึ่งนักลงทุนต่างชาติที่เข้ามาลงในไทยขณะนี้ เข้ามาเพื่อตั้งสำนักงานใหญ่เข้าสู่ CLMVT  ตะวันออกกลาง และเข้าสู่ตลาดเอเซียใต้ และไม่มีประเทศไหนที่อยู่ในจุดที่ดีเท่ากับประเทศไทย ในช่วง 1-2 ปี ที่เกิดนโยบายต่างประเทศอเมริกามาก่อน (America first policy) ทำให้มีกิจกรรมในภูมิภาคนี้ ที่จะพยายามให้ก่อการค้าเสรีขึ้นทดแทน เช่น  การเปิดเสรีการค้าสินค้าภายในกรอบอาร์เซป อาเซียนบวก 6 ประชากรครึ่งโลก ประเทศไทยมีที่ตั้งตรงกลาง  ความตกลงหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจภาคพื้นแปซิฟิก (ซีพีทีพีพี) เหลือเพียง 11 ชาติ ซึ่งประเทศไทยต้องการเป็นสมาชิก อินเดียญี่ปุ่น อเมริกาพยายามโปรโมท ภูมิภาคอินโดจีน และการสร้างทางรถไฟ เชื่อมจากจีนลงมาไทยอยู่ตรงกลาง ประเทศไทยที่แข็งแรงที่พัฒนา จะไม่เป็นจุดสนใจได้อย่างไร ที่สำคัญกว่านั้น จีนกำลังพัฒนา โครงการเส้นทางสายเศรษฐกิจ” หรือ“วันเบลต์ วันโรด” เส้นทางลงมาจากทางใต้ของจีนเส้นทางในส่วนของลาวไปได้ดีมาก ส่วนของไทยเริ่มก่อสร้างแล้ว ในอนาคตจะเชื่อมต่อ และแม้เส้นทางจบลงที่ประเทศไทยแต่ประโยชน์ได้เกิดแล้ว เพราะทุกคนลงจากจีนมาได้ การพัฒนาย่อมเกิดขึ้น  ประเทศไทยกำลังพัฒนาท่าเรือที่จังหวัดระนอง รถไฟรางคู่ตัดจากชุมพรสู่ระรอง เชื่อมระหว่างอ่าวไทยกับทะเลอันดามัน เป็นจุดยุทธศาสตร์สำคัญมากกับไทย ส่วนความสำพันธ์ไทยกับจีนยาวนาน และไทยเป็นประเทศแรกที่มีความสัมพันธ์ระดับสูงกับประเทศจีน วางยุทธศาสตร์ในการช่วยเหลือกันและกัน และขณะนี้ แผน 5 ปีจบ ดังนั้นตนจะเดินทางไปจีนต่ออีก 5 ปี แต่ครั้งนี้ไม่ใช่ข้อตกการค้าเสรีไทยจีน แต่จะความร่วมมือเป็นพันธมิตรร่วมกัน และไม่เพียงจีน ประเทศไทยยังร่วมมือกับประเทศญี่ปุ่นด้วย โดยที่ผ่านมานักลงทุนญี่ปุ่น เข้ามาลงทุน 7,000-8,000 บริษัท ลงทุนในไทยที่อีสเทินร์ซีบอรด์ และมีความสำคัญลึกซึ้งมากระดับระดับสูงของเจ้าหน้าที่รัฐบาล ประเทศไทยจึงสามารถคิดได้ว่า จะบริหารอย่างไรเมื่อไทยเป็นสมาชิกความร่วมมือทางเศรษฐกิจอิรวดี – เจ้าพระยา – แม่โขง ACMECS และขณะนี้เป็นครั้งแรกที่ได้มีการสร้างแผนแม่บทขึ้นมาได้ ทำให้ในอนาคตจีน ญี่ปุ่นไม่ต้องแข่งขันกัน ล่าสุดการประชุมที่ที่ปักกิ่งจีนและญี่ปุ่น จะยุติการแข่งขันที่ไม่สร้างสรรค์ แต่จะนำจุดแข็งมาลงทุนประเทศที่ 3 ซึ่งประ เทศที่ 3 มีประเทศไทยรวมอยู่ด้วย และยังแสดงความสนใจเข้ามาลงทุนโครงสร้างพื้นฐานและสมาร์ทซิตี้ในอีอีซี ของไทยด้วย นายสมคิด ระบุว่า ล่าสุด สัปดาห์ที่ผ่านมาได้รับรายงานจากสำนักงาคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน(บีโอไอ) ระบุว่า  สงครามการค้า ส่งผลให้นักลงทุนจีนเข้ามายื่นโครงการเพื่อขอรับส่งเสริมการลงทุนมากขึ้น โดยเงินลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ(FDI) โดยครึ่งปีแรกปีนี้เพิ่มขึ้นร้อยละ 40-50 เพราะหลายคนมองประเทศไทยเป็นทางออก ดังนั้นโอกาสจึงอยู่ที่ไทย และอยู่ที่ประเทศไทยจะปรับตัวเองได้หรือไม่ ซึ่งอนาคตมีหลายอย่างเป็นดิจิตอล รัฐบาลนี้พยายามผลักดันให้มีการเปลี่ยนแปลงแต่ไม่ใช่เรื่องง่าย นายสมคิด กล่าวว่า แน่นอนที่สุด ขณะนี้ใกล้เลือกตั้ง ดังนั้น การที่บางคนเห็นว่า รัฐบาลระบุว่า เศรษฐกิจดี แต่ทำไมคนจนมีมาก ความเหลื่อมล้ำยังมีอยู่มาก ซึ่งเรื่องนี้ เกิดขึ้น จากผลพวงการเมืองที่ไม่สามารถลงไปแก้ไขในระดับรากหญ้า มานานนับสิบ ๆ ปี  ปัจจุบันประเทศไทยมีผู้ที่มีรายได้ต่ำกว่า  30,000 บาทต่อปีถึง 4 ล้านคน หากรวมกลุ่มที่มีรายได้ต่ำกว่า 100,000 บาทต่อปี มีจำนวนรวมประมาณ 11 ล้านคน และมีประชากร 20 ล้านคนขึ้นไปอยู่ในภาคการเกษตรซึ่งกลุ่มนี้ไม่ใช้เทคโนโลยี ไม่สร้างมูลค่าเพิ่ม หากไม่แก้ไข ประเทศจะหมดความเหลื่อมล้ำได้อย่างไร ไม่ใช่ความผิดรัฐบาลนี้ แต่ทุกรัฐบาลที่ผ่านมาที่ไม่ทุ่มเทกับสิ่งเหล่านี้  การเมืองเน้นเพียงการประกาศราคาสินค้า ฉะนั้นจึงเป็นปัญหาสั่งสมที่ต้องเปลี่ยนแปลงใหม่ ซึ่งทุกประเทศมีปัญหาเหล่านี้  ไม่ใช่ไทยเท่านั้น จีน อเมริกา ก็มี ดังนั้นขึ้นกับความจริงจังของรัฐบาล ดังนั้น สิ่งที่รัฐบาลนี้ต้องการคือ การปรับเปลี่ยนประเทศไทยใหม่ ดังนี้ เรื่องแรก การไม่มีเศรษฐกิจที่สมดุล เพิ่งพิงแต่การส่งออกเท่านั้น เพราะคนส่วนใหญ่ในประเทศจน เมื่อเศรษฐกิจโลกถดถอยส่งออกลดลง ในเดือนที่ผ่านมาส่งออกไทยลดลงร้อยละ 5  จึงหันมาให้ความสำคัญเศรษฐกิจฐานราก เปลี่ยนภาคเกษตร โดยหันมาเพิ่มมูลค่า เปลี่ยนการปลูกเชิงเดี่ยวเป็นปลูกแบบหลากหลาย มีผลิตภาพ มีการค้าออนไลน์ สิ่งเหล่านี้ไม่เคยเกิดในไทย จึงไม่ของง่าย  แต่พยายามดำเนินการโดยมีหุ้นส่วนที่ดีช่วยเหลือทั้งจีน ญี่ปุ่นและสหรัฐ ประเทศ ไทยปัจจุบัน ไม่ใช่โปรดักชั่นเซ็นเตอร์ แต่ภาคบริการเป็นตัวนำ เพราะมีสัดส่วนคิดเป็นร้อยละ 60 ของจีดีพีเป็นภาคบริการ ทัวร์ การเงินธนาคาร และอื่น ๆ  จึงเป็นโอกาสที่ประเทศอื่น ๆ ไม่ค่อยจะมี โดยเฉพาะการท่องเที่ยวจะต้องได้รับการพัฒนา หากสามารถจนพานักท่องเที่ยวจากเมืองหลักออกไปเมืองรองออกสู่ภูมิภาค เช่น จากเชียงใหม่ ไปเชียงราย สู่พะเยา แพร่น่าน ต่อไปเรื่องนี้รัฐบาลนี้มีการลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน โดยจัดงบประมาณแบบกลุ่มจังหวัดในการพัฒนา เรื่องที่ 2 ด้านการส่งออกต้องการสร้างมูลค่าเพิ่ม อุตสาหกรรมรถยนต์ต้องการรถยนต์ไฟฟ้า เป็นต้นและ เพื่อให้เกิดโครงการเหล่านี้ จึงออกโครงการเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออกหรืออีอีซี  และกำลังลงทุนสร้างเคเบิ้ลใต้น้ำกับจีนไปที่ฮ่องกงเพื่อให้ไทยเป็นอินเตอร์เนชั่นแนลเก็ตเวย์ได้ ภาคใต้ที่หลายสิบปีไม่เจริญ คนเที่ยวกระบี่ มีสินค้าปลา และยางพารา  ราคาถูก เมื่อราคาโลกดีซื้อรถกระบะเพิ่ม แต่ราคาตกได้รับผลกระทบ รัฐบาลมองว่า ท่องเที่ยวเป็นหัวใจจึงเดินหน้าสร้างรถไฟรางคู่และถนนเลียบชายฝั่งโดยมีหาดทรายตั้งแต่จังหวัดเพชรบุรีลงไป ทำให้นักท่องเที่ยวไปท่องเที่ยวและเกิดการบริโภค ยังมีผลไม้ไม่ต้องรออานิสงส์จากราคายางและผลไม้เท่านั้น สำหรับโครงการลงทุนขนาดใหญ่ ไม่มีการลงทุนมากว่า 10 ปี การลงทุนครั้งนี้เป็นครั้งแรกที่รัฐบาลทำโครงการ โครงการที่รัฐบาลให้ดำเนินการแล้วได้แก่ โครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบิน และในการประชุมคณะรัฐมนตรีสัญจร ที่จังหวัดเชียงราย เมื่อวานนี้(30 ต.ค.) เห็นชอบเพิ่มอีก  4 โครงการลงทุนในพื้นที่อีอีซี ได้แก่ โครงการศูนย์ซ่อมบำรุงอากาศยานอู่ตะเภา  โครงการพัฒนาสนามบินอู่ตะเภาและเมืองการบินภาคตะวันออก โครงการพัฒนาท่าเรือแหลมฉบัง  ระยะที่ 3 และโครงการพัฒนาท่าเรืออุตสาหกรรมมาบตาพุด  ระยะที่ 3 นอกจากนี้ ยังมีการลงทุนโครงการรถไฟฟ้าในกรุงเทพฯ  3-4 เส้น และยังจะมีการลงทุนที่จังหวัด เชียงใหม่ ขอนแก่น ภูเก็ต ด้วย และรัฐบาลยังมีการพัฒนาด้านดิจิทัล โดย2 ปีที่ผ่านมา มีการลงทุนสร้างโครงข่ายอินเตอร์เน็ตหมู่บ้าน ใช้ประโยชน์ด้านการสาธารณสุข และการศึกษา โดยมีเอกชนพัฒนาแอพพลิเคชั่นช่วย ไทยยังมีจีน ญี่ปุ่น เข้ามาช่วยพัฒนาผู้ประกอบการเอสเอ็มอีเปลี่ยนผ่านสู่ดิจิตอล โดยญี่ปุ่นร่วมกับกระรวงอุตสาหกรรมตั้งศูนย์ ITC และกำลังประสานงานกับทางฮ่องกงเพื่อสร้างไซเบอร์พอร์ตที่อีอีซี เพื่อสร้างเอสเอ็มอีและฮ่องกงยังจะร่วมกันสร้างอีทีโอ สำนักงานการค้าแห่งใหม่ในไทยเปิดต้นปีหน้า  และจะมีการสร้างไทยแลนด์ไซเบอร์พอร์ต เป็นความร่วมมือเอกชนไทยและเอกชนต่างประเทศช่วยพัฒนาสตาร์ทอัพ นายสมคิด กล่าวว่า ในช่วงวันเสาร์-อาทิตย์นี้ ตนจะเดินทางไปประเทศจีน โดยมองล่วงหน้าว่า เมื่อเกิดโครงการวันเบลวันโรด  11 มลฑลทางใต้ของจีนที่มีพรมแดนติด CLMVT ไทยจะเชื่อมต่อกับประชาชนและนักธุรกิจให้เข้าถึงประเทศไทยในทุกๆ อย่าง ไทยเป็นด่านหน้า