นายกฯ ห่วงผู้สูงวัย ชี้ใน 20 ปี ไทยพ้นกับดักรายได้ปานกลาง

by ThaiQuote, 22 พฤศจิกายน 2561

วันที่ 22 พ.ย.2561 พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) นำคณะรัฐบาล อาทิ พล.อ.ฉัตรชัย สาริกัลยะ รองนายกรัฐมนตรี พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา รมว.มหาดไทย นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รมว.คมนาคม ลงพื้นที่โรงเรียนวัดศรีบุญเรือง เขตบางกะปิ โดย พล.อ.ประยุทธ์ ได้ร่วมเข้าแถวเคารพธงชาติพร้อมกับกลุ่มนักเรียน ผู้ปกครอง

พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) พร้อมคณะ เดินทางมายังโรงเรียนวัดศรีบุญเรือง ซอย เขตบางกะปิ เพื่อเข้าแถวเคารพธงชาติร่วมกับนักเรียน ผู้ปกครอง และประชาชนในชุมชนบางกะปิ พร้อมชมการแสดงโขนเรื่องรามเกียรติ์ และมอบหมวกกันน็อกให้แก่ตัวแทนนักเรียน

โอกาสนี้ นายกรัฐมนตรีกล่าวกับประชาชนในพื้นที่ว่า ส่วนตัวถือโอกาสมาเยี่ยมเยียน ไม่ใช่เพื่อหวังผลอะไร แต่มารับฟังปัญหา อุปสรรคของประชาชนเพื่อดูว่าต้องแก้ไขตรงไหน ซึ่งในพื้นที่มีหลายกลุ่ม หลายศาสนา แต่ทุกคนอยู่กันด้วยความรักสามัคคี และอยู่กันด้วยความสงบสันติ พร้อมแนะนำคณะที่ลงพื้นที่ในวันนี้ที่มากันเป็นจำนวนมาก เพราะรัฐบาลให้ความสำคัญทุกจังหวัดและไปเพื่อดูว่าจะดูแลประชาชนได้อย่างไรทั้งเด็กและผู้สูงอายุ ที่ไทยกำลังก้าวสู่สังคมผู้สูงวัย แต่สิ่งสำคัญในการแก้ไขเรื่องเหล่านี้ คือการป้องกันและออกกำลังกายให้แข็งแรง

นายกรัฐมนตรี กล่าวระหว่างลงพื้นที่พบปะกับประชาชนที่โรงเรียนวัดศรีบุญเรืองตอนหนึ่งว่า สิ่งที่นายกรัฐมนตรีไปประชุมประเทศ มีการเน้นดูแลผู้สูงวัยซึ่งเป็นสิ่งจำเป็นเพราะโลกให้ความสนใจตรงนี้ ซึ่งจะเป็นภาระของรัฐบาลและภาระครอบครัวก็จะมากขึ้น ซึ่งหลายประเทศก็ดำเนินการเช่นเดียวกัน แต่ทุกอย่างต้องทำด้วยความโปร่งใส คำนึงถึงงบประมาณเป็นหลัก ไม่ได้มุ่งหวังอย่างอื่น วันนี้ประเทศมีคน 67-68 ล้านคน มีหลากหลายศาสนา เชื้อชาติที่อยู่ในแผ่นดินไทย และเป็นสิ่งที่ทุกคนต้องภาคภูมิใจเหมือนเพลงชาติที่ร้อง

อย่างไรก็ตาม การลงพื้นที่วันนี้ตนเองได้เห็นการอยู่ร่วมกันแบบพหุสังคม ทุกเชื้อชาติและศาสนาไม่มีขัดแย้ง พร้อมฝากเรื่องความสะอาด ที่ต้องเตรียมความพร้อม และต้องไม่ทะเลาะหรือขัดแย้งเหมือนที่ผ่านมา ต้องไม่เกิดขึ้นอีก ซึ่งตนเองไปต่างประเทศ หลายประเทศชื่นชมประเทศไทย เพราะช่วงที่ผ่านมามีความสุขและจะเดินทางไปไหนก็ได้ แต่ต้องอยู่ในกรอบของกฎหมาย ซึ่งรัฐบาลไม่ได้มุ่งหวังทำร้ายและไม่ต้องการทำให้ทุกคนเดือดร้อน แต่ต้องการจัดระเบียบเพื่อให้เกิดความเรียบร้อย

ในช่วงหนึ่งนายกรัฐมนตรีได้ถามประชาชน ว่าจะมายื่นหนังสือร้องเรียนอะไรหรือไม่ เป็นเรื่องดีหรือไม่ดี หากเป็นเรื่องดีๆ ต้องบอกให้คนอื่นรู้ โดยเฉพาะเรื่องดีต้องบอกให้สื่อมวลชนรู้ เพราะบางครั้งสื่อมวลชนก็ไม่เชื่อ ซึ่งเรื่องดังกล่าวต้องได้รับการสานต่อจากรัฐบาลหน้า ส่วนใครจะเป็นรัฐบาลก็ยังไม่รู้ ซึ่งทั้งหมดจะต้องเข้าสู่ระบบการเลือกตั้ง และนำสิ่งเหล่านี้ไปดัดแปลง และไม่ทราบว่าจะเกิดอะไรขึ้นในประเทศไทย เพราะในอีก 20 ปีประเทศไทยจะต้องพ้นจากกับดักรายได้ปานกลาง

นายกรัฐมนตรี ยังกล่าวอีกว่า รัฐบาลพยามทำเต็มที่เพื่อให้ประชาชนมีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นแต่ต้องอาศัยเวลา ที่ทุกอย่างต้องทยอยดำเนินการทั้งวิธีการ กฎหมาย และงบประมาณ ดังนั้น เหตุใดถึงไม่อยากให้ทุกคนมีเงิน แต่ทุกอย่างต้องอาศัยเวลา และรัฐบาลพยายามช่วยเหลือผู้มีรายได้น้อยแม้จะทำให้จำนวนไม่มาก แต่ก็สามารถช่วยเหลือได้บ้าง และอยากให้ทุกคน ต้องเตรียมตัวหากปฏิบัติตนแบบเดิมจะลำบาก เพราะโลกกำลังเข้าสู่การเปลี่ยนแปลงไปสู่ยุคดิจิทัล ดังนั้นทุกคนจึงต้องเรียนรู้

“จะทำให้มากขึ้นตราบใดที่ยังมีโอกาส จะรับฟังทั้งหมดที่มีการร้องเรียนผ่านศูนย์ดำรงธรรมและช่องทางอื่นๆ ที่ได้เร่งแก้ปัญหา โดยเฉพาะปัญหาหนี้นอกระบบ จึงขออย่าฟังที่มีใครบอกว่าจะให้นู่น ให้นี่ เพราะไม่สามารถให้ได้ แต่ทุกอย่างต้องแก้ด้วยตัวบทกฎหมาย ไม่งั้นบ้านเมืองก็ไปไม่ได้ 4 ปีทำได้แค่นี้กฎหมายหลายฉบับก็ออกได้ ซึ่งหลายอันเป็นกฎหมายที่ชาตินี้หรือชาติหน้าก็ออกไม่ได้ ดังนั้น ที่ทำอยู่ตอนนี้ เชื่อเถอะว่าคนอื่นไม่สามารถทำได้ เพราะรัฐบาลมีวิธีการและมีกฎหมายที่สามารถปลดล็อกได้ ซึ่งวันข้างหน้าก็ไม่มีแล้ว” นายกรัฐมนตรี กล่าว

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

ย้ำ คำสั่ง คสช.ไม่กระทบโรดแมพ

บิ๊กตู่ รับมอบนั่งปธ.อาเซียน ชูแนวคิดร่วมมือก้าวไกลยั่งยืน