วันที่ 23 พ.ย.2561 นพ.โอภาส การย์กวินพงศ์ อธิบดีกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ เปิดเผยว่า จากการตรวจสอบกัญชาแห้ง 3 ตัวอย่าง ซึ่งเป็นของกลางที่รับมอบมาจากองบัญชาการปราบปรามยาเสพติด เพื่อตรวจหาสารปนเปื้อนว่าเหมาะสมจะนำไปพัฒนาได้หรือไม่ ผลปรากฏว่า กัญชาแห้ของกลางไม่พบเชื้อรา แต่พบสารเคมีป้องกันกำจัดศัตรูพืชทั้งยาฆ่าแมลงและยาฆ่าหญ้า โลหะหนักทั้ง ตะกั่ว ปรอท สารหนู และแคดเมียม ในทั้ง 3 ตัวอย่าง และเมื่อรับมอบของกลางตรวจเพิ่มอีก 1 ตัวอย่า ก็พบการปนเปื้อนเช่นกัน จึงทำให้กัญชาของกลางยังไม่มีคุณภาพความปลอดภัยพอที่จะนำมาใช้ประโยชน์ทางการแพทย์

"สารพิษที่พบในกัญชาของกลางมันอันตรายต่อสุขภาพคน ทำให้มีอาการคลื่นไส้ อาเจียน แน่นหน้าอก และระบบหายใจล้มเหลวได้ คนที่ลักลอบไปสูบก็อาจได้รับสารพิษด้วยเช่นกัน" นพ.โอภาส กล่าว

ภญ.นันทกาญจน์ สุวรรณปิฎกุล ผู้อำนวยการสถาบันวิจัยและพัฒนา องค์การเภสัชกรรม (อภ.) กล่าวว่า กัญชาของกลางไม่ผ่านคุณภาพมาตรฐานที่จะใช้ในทางการแพทย์ได้ แต่อภ.จะนำไปศึกษาต่อในด้านอื่นๆ เช่น ศึกษาปริมาณสารหลักที่ออกฤทธิ์เป็นยา เช่นทีเอชซี (THC) และ ซีบีดี (CBD)เพราะกัญชาที่ปลูกในภูมิภาคนี้มีค่า ทีเอชซีที่สูงกว่าค่าซีบีดี ซึ่งจะทำให้ได้ข้อมูลว่าเหมาะกับไปใช้ต่อกับโรคอะไร

"แต่จะขอของกลางเพิ่มอีก 300 กิโลกรัมเพื่อตรวจสอบอีกครั้ง หากพบสารปนเปื้อนก็ไม่เอาของกลางมาทดลองอีกแล้ว แต่จะใช้การปลูกเอง" ภญ.นันทกาญจน์ กล่าว

ผู้อำนวยการสถาบันวิจัยและพัฒนา อภ. กล่าวอีกว่า วันที่ 30 พ.ย.จะเชิญ สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) ไปดูพื้นที่ที่จะใช้ปลูกเพื่อดูว่ามารถใช้ได้และเหมาะสมหรือไม่ก่อนนำไปสู่กระบวนการปลูก เบื้องต้นที่เล็งไว้คือที่การปรับปรุงชั้น 2 ของโรงงานยารังสิต ขนาด 100-200 ตารางเมตร และนำกัญชาลูกผสมเข้ามาปลูก เพราะมีรอบเก็บเกี่ยวสั้น แค่ 3 เดือน โดยจะเร่งกระบวนการตรวจและขออนุญาตปลูกให้ได้ภายใน ม.ค. - ก.พ. 2562 ทั้งนี้คาดว่าจะให้น้ำมันกัญชาไม่น้อยกว่าแผนเดิมคือ 18,000 ขวด และยืนยันว่าภายใน พ.ค.2562 จะต้องมี น้ำมันกัญชาใช้ จะสอดรับพอดีกับร่างกฎหมายที่จะออกมาให้สามารถนำมาใช้ทางการแพทย์ในมนุษย์ได้ อย่างไรก็ตาม ก็จะมีการศึกษาเพื่อปรับปรุงพันธุ์ให้ได้พันธุ์ของเราเองด้วย