มาร์คเมิน“พปชร.” - แล้วจะจับมือกับใคร? หรือ หมดเวลาผู้นำจอมปลอม

by ThaiQuote, 29 พฤศจิกายน 2561

หมดเวลาผู้นำจอมปลอม ปลุกปั้นเพื่อผลประโยชน์ของตนเองและหมู่คณะ วันนี้บ้านเมืองเราบอบช้ำมามาก คนที่ว่าประสบความสำเร็จจากธุรกิจบนผืนแผ่นดินนี้ ประกาศจะทำงานการเมือง เพื่อทำให้ประเทศชาติ และประชาชนออยู่ดีมีสุข แต่เอาเข้าจริงๆ ก็ล้วนแต่เป็นแค่ “วาทะกรรมทางการเมือง” “อำนาจเป็นสิ่งที่ได้มายาก...แต่การรักษาอำนาจ คือเรื่องที่ยากยิ่งกว่า” ครั้งเรืองอำนาจ ก็มักจะมองไม่เห็นหัวประชาชน ลุแก่อำนาจ มุ่งหวังกินรวบ ดังคำพูดของอดีตผู้นำอย่าง “ทักษิณ ชินวัตร” ที่เคยประกาศก้อง มีเนื้อหาชวนให้ขบคิดไปทั้งแผ่นดินว่า “หากใครไม่เลือกไทยรักไทย  ก็จะไม่พัฒนาพื้นที่จังหวัดนั้นๆ”    [caption id="attachment_56458" align="alignnone" width="1000"] พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ อดีตนายกรัฐมนตรี และอดีตหัวหน้าพรรคความหวังใหม่[/caption]   จะว่าไปแล้ว หากย้อนกลับไปดูที่ไปที่มาของ “พรรคไทยรักไทย” ที่เติบใหญ่ชนิดก้าวกระโดดเพียงระยะเวลาไม่กี่ปี คงจำกันได้ว่า ปัจจัยสำคัญที่ทำให้ไทยรักไทยโตเร็ว ก็คือการเข้าไปย่อยสลาย “พรรคความหวังใหม่” ของ “พ่อใหญ่จิ๋ว” พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ ส.ส.ความหวังใหม่ครั้งนั้น พากันทิ้งพ่อใหญ่จิ๋ว ด้วยเหตุผลที่ว่า พรรคได้ถูกแปรสภาพเป็น “พรรคความหวังหมด”   [caption id="attachment_56457" align="alignnone" width="1280"] ทักษิณ ชินวัตร[/caption]   อีกปัจจัยที่ทำให้ไทยรักไทยได้รับคะแนนนิยมจากประชาชน หรืออาจจะเรียกได้ว่าเป็นเรื่องความโชคดีของคนชื่อ “ทักษิณ ชินวัตร” ก็คือ สภาวะเศรษฐกิจโลก และ “ต้มยำกุ้ง” ได้ดิ่งลึกถึงก้นเหวแล้ว เมื่อทักษิณเข้ามา ก็คือช่วงเวลาที่ดีที่สุด เพราะเป็นไทม์มิ่งที่เศรษฐกิจโลกฟื้นตัวพอดิบพอดี การประกาศใช้หนี้กองทุนการเงินระหว่างประแทศ  (ไอเอ็มเอฟ) ก่อนกำหนดชำระหนี้ ยิ่งสร้างความอบอุ่นใจให้กับคนฐานราก แม้ในความเป็นจริง หากมองในแง่ของวินัยทางการเงินการคลัง ก็ไม่ใช่เรื่องที่จะต้องทำเช่นนั้น แต่ทักษิณก็เลือก และก็ยังสามารถใช้เป็นเครื่องมือในการหาเสียงได้ในที่สุด กล่าวคือ “ประชาธิปัตย์” กู้ “ไทยรักไทย” เฉ่ง โชคชั้นสองของทักษิณ ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญอีกประการหนึ่งก็คือ การที่เขาสามารถรวบรวมบุคลากรทางการเมืองที่มีความรู้ความสามารถ นำเสนอนโยบายประชานิยม โดยเฉพาะกองทุนหมู่บ้านละ 1 ล้านบาท และ 30 บาทรักษาทุกโรค ก็ยิ่งเป็นเรื่องที่เกื้อหนุนให้ชื่อของ “ทักษิณ ชินวัตร” ครองใจประชาชนได้ชนิดฝังรากลึก สิ่งเหล่านี้คือเกราะกำบังที่ทำให้ประชาชนมองไม่เห็น หรือแม้แต่มองเห็นก็ไม่อยากจะติดใจเอาความ เพราะค่านิยมที่ผิดๆ ของคนไทยมักจะพูดว่า “ใครๆ ก็โกงกันทั้งนั้น โกงแล้วแบ่งก็ไม่เป็นไร เมื่อมีแรงใจแรงเชียร์เช่นนี้ จึงทำให้รัฐบาลไทยรักไทยสามารถใช้อำนาจในการทุจริตเชิงนโยบายได้อย่างกว้างขวาง โดยเฉพาะการแก้ไขกฎหมายเพื่อเอื้อประโยชน์ให้กับธุรกิจของตัวเขาเองและเครือญาต โดยเฉพาะธุรกิจโทรคมนาคม หรือมือถือ จนนำไปสู่การปิดดีลขายสัมปทานดาวเทียมไทยคมให้กับ “เทมาเส็ก” จากสิงคโปร์ โดยไม่เสียภาษี และเกิดเป็นมหากาพย์ซุกหุ้นในเวลาต่อมา ต้องไม่ลืมว่าอดีตรัฐบาลทักษิณถูกกล่าวหาว่าใช้อำนาจในทางมิชอบอีกมากมาย ทั้งเรื่องโครงการรับจำนำข้าว การปล่อยเงินกู้ธนาคารกรุงไทยให้กับกฤษดามหานคร ที่มีชื่อของลูกชายสุดที่รัก ลูกโอ๊ค “พานทองแท้ ชินวัตร” เข้าไปมีส่วนเกี่ยวข้อง และวันนี้โอ๊คก็จตกอยู่ในฐานะจำเลยในคดีนี้ ด้วยอัยการสูงสุดมีความเห็นสั่งฟ้องคดีไปแล้ว นอกจากนี้ ยังมีคดีการไฟเขียวให้ธนาคารเพื่อการส่งออก หรือเอ็กซิมแบงก์ปล่อยกู้ให้กับเมียนมาทำโครงการโทรคมนาคม และนำกลุ่มบริษัทชินวัตรเข้าไปรับงานในพม่าอย่างมีนันสำคัญ “ทักษิณ ชินวัตร” เคยให้สัมภาษณ์สื่อต่างประเทศว่า เขาจะกลับเมืองไทยอย่างเท่ห์ๆ กว่าสิบปีแล้ว นอกจากเข้าจะไม่สามารถกลับคืนแผ่นดินแม่ได้แล้ว ยังทำให้น้องสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ต้องเดินรอยตามพี่ชาย หนีอาญาแผ่นดินเช่นเดียวกัน “ถ้าผมอยู่ไม่ได้...ก็อย่าหวังว่าใครจะอยู่กันอย่างมีความสุขเลย” คำพูดที่ไม่มีใครคาดคิดว่าจะเป็นเช่นนั้นได้จริงๆ สงครามการเมืองที่เกิดขึ้นในกรุงเทพมหานคร และหลายจังหวัด มีการบุกเผาปล้น ทำลายสถานที่ราชการ บ้านเมืองรุกเป็นไฟ ความแตกแยกของคนในชาติ ไม่มีใครคาดคิดว่าจะเกิดเรื่องเลวร้ายเช่นนี้ในชั่วอายุที่เรายังมีลมหายใจกันอยู่ แต่ก็เกิดขึ้นจริงๆ ดังคำพูดของทักษิณ ชินวัตร “บุกให้เต็มที่...พี่น้องเสื้อแดงไม่มีคำว่าถอย ทันทีที่เสียงปืนแตก ผมจะนำหน้าพี่น้องประชาชนเอง ผมจะไปบัญชาการเองที่กรุงเทพฯ เอากันให้เต็มที่” ทักษิณปลุกเร้าไว้อย่างน่าชื่นใจ แต่สุดท้ายทักษิณ ก็ยังมิได้กลับประเทศไทยจวบจนทุกวันนี้ “การเมืองพิเศษ” มิได้เกิดขึ้นหลังควันปลายกระบอกปืนของกองทัพไทย หากแต่เกิดขึ้นก่อนหน้าที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา จะตัดสินใจรัฐประหาร รัฐบาลที่ได้ชื่อว่ามาจากประชาธิปไตย มาจากเสียงพี่น้องประชาชน แต่กลับนำไปสู่จุดที่อัปยศที่สุดของแผ่นดินนี้ นั่นคือ การปลุกระดมคนไทยออกมาเข่นฆ่ากันเอง วันนี้ประชาชนไม่อยากเห็นประเทศไทยกลับไปสู่วังวนของความขัดแย้ง แม้แต่นักการเมืองที่พากันย้ายข้างย้ายพรรค ก็ต่างออกมาให้เหตุผลไปในทางทิศทางเดียวกันว่า “หมดเวลาที่จะทะเลาะกันแล้ว” พรรคใดมีนโยบายที่จะทำให้บ้านเมืองเจริญพาสุข ประชาชนมีชีวิตที่ดีขึ้นก็ควรจะร่วมงานกับพรรคการเมืองนั้น นับจากนี้ไปทางเลือกของคนไทยมีอะไรบ้าง? คำตอบ 1)พรรคเครือข่ายทักษิณ 2)พรรคประชาธิปัตย์ และ 3)พรรคพลังประชารัฐ   [caption id="attachment_56456" align="alignnone" width="779"] สมศักดิ์ เทพสุทิน แกนนำกลุ่มสามมิตร และสมาชิกพรรคพลังประชารัฐ[/caption]   “สมศักดิ์ เทพสุทิน” สมาชิกพรรคพลังประชารัฐ ในฐานะประธานคณะกรรมการเฉพาะกิจในการรณรงค์การหาเสียงเลือกตั้ง  บอกว่า “หากพรรคจัดนโยบายที่ดี เกิดประโยชน์ต่อประชาชน ประชาชนก็จะหวังพึ่งพานโยบายมากกว่าตัวผู้สมัคร กรณีโพลของมหาวิทยาลัยรังสิต สนับสนุน พล.อ.ประยุทธ์และพปชร.มากขึ้นนั้น เห็นว่าทั้ง พล.อ.ประยุทธ์ และพรรคอยู่ในระดับแนวหน้ามาโดยตลอด โดยมีปัจจัยความสงบสุขของบ้านเมือง สร้างความมั่นใจแก่ประชาชน ไม่ทำให้นักลงทุนและนักท่องเที่ยววิตกเหมือนในอดีต เช่น ความวุ่นวายในการประชุมผู้นำอาเซียน ปี 2552 ที่ผู้นำต่างประเทศต้องหนีม็อบ แต่ปัจจุบันไม่มีเรื่องอย่างนั้นเกิดขึ้นแล้ว ส่วนคุณอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ยืนยัน ประชาธิปัตย์ ไม่คิดจับมือกับพลังประชารัฐ ก็ต้องถามว่าแล้วคุณอภิสิทธิ์จะไปจับมือกับใครล่ะ?   “บิ๊กโอ” ................     ขอบคุณภาพจากเว็บไซต์ข่าว  ไทยรัฐ  ไทยโพสต์ และคมชัดลึก