โดนัลด์ เจ. ทรัมป์ เผด็จศึกชิงทำเนียบขาว 3 มือพระกาฬชักใยเจาะยางบดขยี้”ฮิลลารี”

by ThaiQuote, 9 พฤศจิกายน 2559

ชัยชนะของทรัมป์ เหนือ ฮิลลารี  คลินตัน ในศึกเลือกตั้งชิงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา เมื่อวันที่ 8 พฤศจิกายนที่ผ่านมา น่าจะพูดได้เต็มปากเต็มคำว่าต้องแลกมาด้วยความทรหดอดทนในการก้าวข้ามแรงเสียดทานที่เข้มข้นอย่างยิ่ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งแรงเสียดทานจากกลุ่มนักเศรษฐศาสตร์ระดับแถวหน้าของประเทศสหรัฐอเมริกา

ก่อนหน้าวันหย่อนบัตรลงคะแนนเลือกตั้งไม่กี่วัน เหล่านักวิชาการด้านเศรษฐศาสตร์ขั้นเทพ ที่มีรางวัลโนเบลเป็นประกันอย่าง แองกัส ดีตัน ,โอลิเวอร์  ฮาร์ด ,เคนเน็ธ  แอร์โรว์ ,พอล  โรเมอร์ ,โรเบิร์ต  ชิลเลอร์ จากมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด พรินซ์ตัน...เยล รวมทั้งธนาคารโลก ได้เข้าชื่อกันร่วมกับนักเศรษฐศาสตร์อีกกว่า 700 คน ทำการรณรงค์ให้ชาวอเมริกันคัดค้านการเลือกทรัมป์ เป็นประธานาธิบดี โดยอิดออดที่จะสนับสนุนให้เลือกฮิลลารี  คลินตัน อย่างโจ่งแจ้ง  แต่ยุยงให้หันไปเลือก”บุคคลที่แตกต่างจากทรัมป์” 

เหตุผลสำคัญที่บรรดานักเศรษฐศาสตร์ชั้นครูทั้งหลายรวมหัวกันต่อต้านทรัมป์ คือการยัดเยียดชุดความคิดโจมตีทรัมป์ว่ามีแนวนโยบายสุดโต่ง ซึ่งจะสร้างปัญหาแก่ประเทศหากได้รับเลือกตั้งให้เป็นประธานาธิบดี

ในทางกลับกันที่ปรึกษาเศรษฐกิจของทรัมป์ ได้แก่ ปีเตอร์  นาวาร์โร ซึ่งเป็นศาสตราจารย์ทางเศรษฐศาสตร์ แห่งมหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย (University of California) ออกมาชี้แจงหักล้างว่าทิศทางการดำเนินนโยบายเศรษฐกิจของทรัมป์ ไม่ได้มีลักษณะ”สุดโต่งขวางโลก” แต่ยืนหยัดอยู่บนหลักการค้าเสรี โดยมุ่งเน้นลดอุปสรรคด้านการค้าการลงทุน เพื่อกระตุ้นการเติบโตของเศรษฐกิจเป็นสำคัญ 

อย่างไรก็ดีบรรดานักทำโพลล์ทั้งหลาย ยังคงให้ฮิลลารีมีแต้มต่อเหนือทรัมป์ อย่างต่อเนื่อง ตั้งแต่เริ่มต้นการแข่งขัน จนกระทั่งถึงวันลงคะแนน แต่มีอันต้อง”หน้าแตก”กันอย่างถ้วนหน้า เมื่อผลการเลือกตั้งปรากฏชัดเจน และทรัมป์ กำชัยชนะเหนือ ฮิลลารี อย่างท่วมท้น

ความผิดพลาดอย่างมหันต์ของการทำโพลล์ ในศึกชิงทำเนียบขาวคราวนี้น่าจะมีมูลเหตุสำคัญมาจาก “โมหจริต” และ”อคติ” กระทั่งทำให้เกิดมายาคติ มอง ฮิลลารี เป็นเหมือน “นางฟ้า” แต่มอง ทรัมป์ เป็นเหมือน “ซาตานหื่นกามแถมบ้าอำนาจ” 

ภาพลักษณ์ของทรัมป์ ที่ใช้ผู้หญิงแบบสุรุ่ยสุร่าย และปฏิกิริยาความก้าวร้าวที่ปรากฏในทุกเวทีปราศรัย และบนสังเวียนการโต้วาที  เป็นปัจจัยเหนี่ยวนำสำคัญที่ทำให้ใครต่อใคร รวมทั้งนักทำโพลล์ทั้งหลายพากันมีอคติคิดกับทรัมป์ไปในทางไม่ดี และปรามาสเขาไปในทางเสียหายชนิดหาดีไม่ได้

น่าประหลาดใจอย่างยิ่งที่ ทรัมป์ มิได้ต่อปากต่อคำกับการถูกวิพากษ์วิจารณ์ และการต่อต้านสารพัด แต่เขาเลือกที่จะใช้ประโยชน์จากคำติฉินนินทา และคำวิจารณ์ไปประเมินตัวเอง..วิเคราะห์หาหนทางที่จะลบล้างคำสบประมาทอย่างเอาจริงเอาจัง

2 เดือนสุดท้ายก่อนถึงวันหย่อนบัตรลงคะแนนชี้ชะตาอนาคตในการก้าวขึ้นสู่จุดสูงสุดทางการเมือง ทรัมป์ ตัดสินใจ”ยกเครื่อง” ทีมกลยุทธหาเสียงแบบ”ยกชุด” เพื่อพิชิตชัยชนะให้จงได้

“สตีเฟ่น  แบนนอน”(Stephen  Bannon) เจ้าพ่อสื่อออนไลน์”เบรตบาร์ตนิวส์”(Breitbart News) วัย 63 ปี ซึ่งเป็นบุคคลที่ไม่เพียงรู้ไส้รู้พุงครอบครัวคลินตันอย่างดี แต่ยังเป็นบุคคลที่สนามการเมืองสหรัฐอเมริกายกย่องให้เป็นนักวางแผนกลยุทธการเมืองที่มีความฉกาจฉกรรจ์อย่างยากจะหาใครเสมอเหมือน ถูกเชิญให้มารับหน้าที่ประธานคณะทำงานหาเสียงชุดใหม่ของทรัมป์

“เคลลยอน์  คอนเวย์” (Kellyanne Conway ) วัย 49 ปี ซึ่งช่ำชองในศาสตร์การทำโพลล์การเมืองระดับแถวหน้าของการเมืองสหรัฐอเมริกา ถูกวางตัวให้ทำหน้าที่ผู้จัดการของคณะทำงานหาเสียงชุดใหม่

“โรเจอร์  เอลส์” (Roger Ailes) วัย 76 ปี ผู้ก่อตั้งฟอกซ์นิวส์ ซึ่งมีความแตกฉานในศาสตร์และศิลป์ของการสื่อสารการเมือง ถูกเชิญตัวมาทำหน้าที่โค้ชประจำตัวทรัมป์ ในการกล่าวปราศรัยในทุกเวที

ผลลัพธ์จากการพลิกวิกฤตเป็นโอกาสด้วยไหวพริบและปัญญาของทรัมป์ ซึ่งถูกสบประมาททั่วทุกสารทิศ  คือที่มาแห่งความสำเร็จในการพิชิตชัยชนะที่พลิกทุกความคาดหมาย และได้ตำแหน่งประธานาธิบดีอันดับที่ 45 แห่งประเทศสหรัฐอเมริกามาครอบครองเป็นรางวัลของความสำเร็จ.....

                                                                                                                        .....................................................................................



p.p1 {margin: 0.0px 0.0px 0.0px 0.0px; font: 11.0px Helvetica; -webkit-text-stroke: #000000} p.p2 {margin: 0.0px 0.0px 0.0px 0.0px; font: 11.0px Helvetica; -webkit-text-stroke: #000000; min-height: 13.0px} span.s1 {font-kerning: none}