“ประพัฒน์ ปัญญาชาติรักษ์” ปลดล็อก “กัญชา” ก้าวสู่ยุคใหม่เกษตรกรไทย

by ThaiQuote, 26 ธันวาคม 2561

  ความพร้อมเกษตรกร สภาฯเกษตรศึกษาเรื่องดังกล่าวมาแล้วประมาณ 2-3 ปี ตั้งแต่ พันธุ์ พื้นที่ ความรู้เรื่องการเพาะปลูก นักวิชาการที่ควบคุมดูแล เรียกได้ว่าเรามีครบถ้วนแล้ว ภาคประชาชนมีความล้ำหน้าในเรื่องดังกล่าวมากกว่าราชการมาก ขณะที่ราชการยังไม่เรื่องของพันธุ์กัญชา แต่เกษตรกรรู้เรื่องและรู้จักเป็นอย่างดีแล้ว ขณะที่การสกัดน้ำมัน เกษตรกรก็มีความรู้ในเรื่องนี้แล้ว ถามว่าเกษตรกรมีความพร้อมหรือไม่ ต้องบอกว่า “พร้อม” โดยเฉพาะเครือข่ายของเกษตรกรที่สนใจ ซึ่งคงจะไม่ใช่เกษตรกรทั่วไป ซึ่งเรายังระบุเป็นตัวเลขที่แน่นอนไม่ได้ว่ามีกี่กลุ่ม เนื่องด้วยเรื่องของกฎหมาย แต่มีการพูดคุยกันมาโดยตลอด แสดงว่ามีพื้นที่บริเวณที่ชัดเจน เราเคยพูดคุยร่วมกับเครือข่ายเกษตรกรในพื้นที่ 3-4 จังหวัดเด่น ซึ่งกระจายอยู่ในแต่ละภาคของประเทศ และมีความความรู้ความเข้าใจ บางเครือข่ายก็สามารถสกัดเป็นน้ำมันและใช้รักษาผู้ป่วยกันเองในเบื้องต้นอยู่แล้ว เป็นการทำงาน “ใต้ดิน” เนื่องจากกฎหมายเพิ่งจะผ่าน สนช. ซึ่งจะต้องรอออกมาเป็นกฎกระทรวง ซึ่งจะต้องรอกระทรวงสาธารณสุขเป็นผู้ประกาศก่อน หากมีความชัดเจนแล้ว สภาเกษตรฯก็พร้อมที่จะสัมมนาถึงเรื่องดังกล่าว และทางกลุ่มเกษตรกรเองก็พร้อมที่จะขับเคลื่อน ไม่มีนักวิชาการเกษตรคนไหนมีความรู้เรื่องนี้ เพราะผิดกฎหมาย ไม่มีใครกล้าทำ ความรู้เหล่านี้จึงอยู่ที่เกษตรกรทั้งหมด   คุณสมบัติของเกษตรกรที่จะปลูก “กัญชา” อันดับแรก จะต้องไม่มีประวัติด่างพร้อย ต้องมีความรู้ความเข้าใจในเรื่องกฎหมาย เรื่องของการรักษาระเบียบวินัย การทำงานร่วมกับทุกฝ่าย และจะต้องมีจิตใจที่เป็นสาธารณะที่ค่อนข้างจะดี   นี่คือช่องทางที่เกษตรจะ “ลืมตาอ้าปาก” หากมีการอนุญาตให้เกษตรกรปลูกได้จริง เรื่องนี้จะเป็นความหวังในการที่เกษตรทั้งประเทศจะแก้ไขปัญหาหนี้สินได้ทั้งหมด ประเทศไทยก็จะก้าวสู่ยุคใหม่ของภาคการเกษตร เกษตรกรจะสามารถลืมตาอ้าปากได้ เพราะนี่คือโอกาสเดียวที่เกษตรกรจะสามารถเลือกอาชีพมั่นคงให้กับตนเองได้ ที่ผ่านมาเกษตรกรไม่มีโอกาสเลือก เพราะอาชีพดีๆ บริษัทยักษ์ใหญ่ได้ครอบงำไว้หมดแล้ว เช่น จะเลี้ยงหมู เลี้ยงไก่ ก็ถูกผูกขาด จะปลูกปาล์ม บริษัทสกัดน้ำมันปาล์มก็คอยกดราคา จะปลูก ยางพารา ก็ต้องขึ้นอยู่กับผู้ค้ายาง ผู้ส่งออกยาง นายทุน พ่อค้าคนกลาง คอยเอาเปรียบตลอดเวลา ฉะนั้นอาชีพที่เกษตรกรสามารถเลือกทำได้โดยไม่ถูกผูกขาดจึงมีน้อยมาก “กัญชา” จึงเป็นพืชตัวหนึ่งที่เกษตรกรจะสามารถช่วยแก้ปัญหาให้กับเกษตรกรได้ ข้อสำคัญคือ รัฐจะต้องไม่ให้เจ้าใดเจ้าหนึ่งผูกขาด หากเป็นอย่างนั้น ก็จะกลายเป็นวิถีแบบเดิม มีเศรษฐีเพิ่มขึ้นอีก 1 คน พร้อมกับคนมีทั้งแผ่นดิน   ปัญหาผลผลิตล้นตลาด ตัดปัญหานี้ออกไปได้เลย เพราะความต้องการ “กัญชา”นั้นไม่ใช่แค่เฉพาะประเทศไทย แต่เรียกได้ว่าทั้งโลกมีความต้องการ เพราะการแปรรูปเป็นยา มีความต้องการอยู่มาก เราสามารถที่จะส่งออกได้ โดยกัญชาไทยเคยส่งออก สร้างรายได้เป็นกอบเป็นกำให้กับประเทศในสมัยยุค จอมพล ป.พิบูลสงคราม โดยประเทศไทยถือเป็นผู้ส่งออกรายใหญ่ของโลก อีกประการหนึ่งหากมีการปลูกได้จริง คงจะไม่ใช่การปลูกแบบเสรี แต่จะต้องมีการควบคุมอนุญาตเฉพาะเกษตรกรที่ขึ้นทะเบียน ซึ่งสภาเกษตรฯ จะต้องมีการดูแลเป็นพิเศษ เนื่องจากกัญชาที่ปลูกทั้งหมดจะใช้ในการสกัดเป็นยา ซึ่งมีวิธีปลูกที่ดีเป็นแบบออแกนิก ต้องไม่มีการใช้สารเคมีในทุกขั้นตอน ในเฉพาะรายที่ขึ้นทะเบียนอนุญาตให้ปลูก และจะต้องเป็นเฉพาะแต่ละพื้นที่ ต้นทุนของการปลูก เรียกได้ว่าไม่ต้องลงทุนอะไรมาก ด้วยระบบธรรมชาติ ภูมิประเทศ ภูมิอากาศของบ้านเรามีความพร้อมมาก และไม่ต้องใช้ปุ๋ย หรือสารเคมีใดๆ ซึ่งจะต้องใช้เพียงสารอินทรีย์ทั้งหมดในการดูแล ไม่จำเป็นต้องสร้างโรงเรือน ดังนั้นต้นทุนของการปลูกจึงมีต้นทุนที่ต่ำมาก  มาตรการการควบคุม พอกฎหมายออกมาแล้ว อนุญาตแล้ว มันจะไม่ใช่การปลูกแบบที่เรียกว่า “ปลูกแซมไร่มัน” เพราะต้องเป็นเรื่องที่จะขับเคลื่อนอย่างจริงจัง มีหลัเกณฑ์ถูกต้อง ต้องเตรียมพื้นที่ปลูก ควบคุมใกล้ชิด ต้องมีฝ่ายความมั่นคงเป็นผู้ออกกติกาในพื้นที่ มีกรรมการกำกับดูแลและตรวจสอบ เกษตรกรจะต้องได้รับการอบรมวินัย เรื่องการดูแล ป้องกันการหลุดรอด ออกไปสู่พื้นที่สาธารณะ หรือที่ไม่พึงประสงค์ เพื่อให้ธุรกิจนี้สามารถเดินหน้าต่อไปได้อย่างยั่งยืน อนาคตของยั่งยืนของเกษตรกรไทย พืชกัญชา มีศักยภาพสูงมาก สามารถที่จะสร้างรายได้ไร่ละเป็นแสนบาท ดีกว่าปลูกพืชไร่ชนิดอื่นๆ ซึ่งเทียบกันไม่ได้กับ อ้อย ข้าวโพด มันสำปะหลัง ปาล์ม หรือยางพารา มันต่างกันแบบฟ้ากับเหว ดังนั้นนี่จึงเป็นแนวทางที่เกษตรกรจะลืมตาอ้าปากได้ และมีต้นทุนที่ต่ำ การปลูกที่ไม่ยากจนเกินไป อย่างไรก็ตามผมจะพูดล้ำเส้นกฎหมายคงลำบาก เพราะยังต้องมีขั้นตอนต่อจากนี้อีกหลายส่วน ซึ่งต้องขอบคุณรัฐบาลที่เร่งรัดออกกฎหมายไปตามที่ได้สัญญาไว้ ปัญหาที่ยังกังวล ขณะนี้ก็คงเป็นเรื่องของสิทธิบัตรยา ซึ่งต่างชาติได้ยื่นจดไว้แล้ว หากกฎหมายบังคับใช้แล้ว สิทธิบัตรเหล่านั้นจะถูกต้องตามกฎหมายในทันที ซึ่งคนไทยเองจะเสียสิทธิ์ดังกล่าว เพราะเขาได้ขึ้นไว้ก่อนแล้ว นี่จึงเป็นเรื่องที่ตนกังวลและต้องฝากให้รัฐบาลพิจารณาแก้ไขด้วย     ขอบคุณภาพจาก เว็บไซต์สยามรัฐ