สำนักข่าวรอยเตอร์ได้รายงานว่าจีนและสหรัฐฯต้องการร่วมงานกันในด้านการค้า โดยกระทรวงการต่างประเทศของจีน ระบุว่าเมื่อวันที่ 7 ม.ค.62 ที่ผ่านมา ทั้งจีนและสหรัฐซึ่งเป็นสองประเทศเศรษฐกิจใหญ่ที่สุดของโลกเริ่มเจรจากันใหม่อีกครั้ง โดยมีวัตถุประสงค์ที่จะใช้ความพยายามเพื่อยุติข้อพิพาททางการค้า   โดยในสัปดาห์นี้ เจ้าหน้าที่สหรัฐฯ กำลังพบกับเจ้าหน้าที่จีนในปักกิ่งเพื่อร่วมการเจรจาตัวต่อตัวนับตั้งแต่ประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ ของสหรัฐฯและประธานาธิบดี สี จิ้นผิง ของจีนเห็นพ้องในเดือนธันวาคมว่าจะสงบศึกการค้าเป็นเวลา 90 วัน ซึ่งทำให้ตลาดต่างประเทศคึกคักขึ้นอย่างรวดเร็ว   เมื่อวานนี้ (7 ม.ค.62) ประธานาธิบดี ทรัมป์ กล่าวว่า การเจรจาการค้ากับจีนกำลังไปได้ด้วยดี และกล่าวต่อไปว่า ความอ่อนแอของเศรษฐกิจจีนตอนนี้ทำให้ปักกิ่งมีเหตุผลที่จะทำงานเพื่อสร้างข้อตกลง   ทั้งสองฝ่ายเห็นพ้องที่จะจัด “การเจรจาเชิงบวกและสร้างสรรค์” และการอภิปรายเพื่อแก้ไขข้อพิพาททางเศรษฐกิจและการค้าตามฉันทามติที่บรรลุโดยผู้นำสองประเทศ หลู่ กัง โฆษกกระทรวงการต่างประเทศ บอกกับผู้สื่อข่าว   “ตั้งแต่เริ่มต้น เราเชื่อว่าข้อขัดแย้งจีน-สหรัฐฯไม่ได้เป็นสถานการณ์ที่เป็นประโยชน์กับไม่ว่าประเทศใดหรือเศรษฐกิจโลก จีนมีความสุจริตใจ บนพื้นฐานของความเคารพกันและกันและความเท่าเทียม เพื่อแก้ไขข้อขัดแย้งการค้าสองฝ่าย” หลู่ กล่าว   ทรัมป์บังคับใช้มาตรการเพิ่มภาษีนำเข้ากับสินค้าจีนมูลค่าหลายแสนล้านดอลลาร์เมื่อปีที่แล้วและขู่ว่าจะกดดันปักกิ่งมากขึ้นอีกเพื่อเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมของพวกเขาในประเด็นต่างๆ ไล่ตั้งแต่การทรุดตัวทางอุตสาหกรรม ทรัพย์สินทางปัญญา ไปจนถึงการแฮก จีนตอบโต้ด้วยมาตรการภาษีของตนเอง   “ไม่ว่าเศรษฐกิจจีนจะดีหรือไม่ดีก็ตาม ผมได้อธิบายเรื่องนี้ไปแล้ว การพัฒนาของจีนมีเรี่ยวแรงและศักยภาพมากพอ” หลู่ กล่าว “เรามั่นใจในพื้นฐานระยะยาวอันเข้มแข็งของเศรษฐกิจจีน”