เมืองทองธานี - พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นประธานในงาน “มหกรรมแสดงผลการดำเนินงานโครงการตามแนวทางประชารัฐของกองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมือง จัดโดยสำนักงานกองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมืองแห่งชาติ (กทบ.) ณ อาคารชาเลนเจอร์ อิมแพค เมืองทองธานี ซึ่งมีตัวแทนและสมาชิก กทบ.กว่า 18,000 คนเข้าร่วม

โดยนายกฯ ได้กล่าวแสดงความยินดีกับผู้ที่ได้รับรางวัล และกล่าวมอบนโยบายในตอนหนึ่งว่า 3 ปีที่ผ่านมา (2559-2561) กองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมือง ได้ดำเนินโครงการที่เป็นประโยชน์ต่อส่วนรวม สร้างงาน สร้างอาชีพ สร้างรายได้ และยกระดับคุณภาพชีวิตให้ประชาชน ในหมู่บ้านและชุมชนเมืองกว่า 70,000 กองทุน ผ่านการดำเนินโครงการตามแนวทางประชารัฐ กว่า 200,000 โครงการ โดยเน้นการมีส่วนร่วมของประชาชน

ทั้งนี้ ตนดีใจที่ได้มาเจอพวกเราเกือบ 20,000 คน โดยวันนี้มาในนามของนายกรัฐมนตรี มาเพื่อดูความก้าวหน้าตามเครื่องมือกลไกประชารัฐ ซึ่งรัฐบาลนี้พยายามเข้ามาแก้ไขเพื่อทำทุกอย่างให้เกิดความเติบโต และจัดระเบียบใน 4 ปีที่ผ่านมา อยากให้ทุกคนรับรู้ว่าการจัดการทั้งหมดนั้นทำเพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุด ซึ่งรางวัลที่มอบให้วันนี้เป็นรางวัลแห่งความภาคภูมิใจในการบริหารจัดการชุมชน เพื่อให้ทุกคนได้คิดเองบริหารเองให้ชุมชนเกิดความสามัคคี

ทุกคนคงเคยได้ยินถึงยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี แผนแม่บท แผนการปฏิรูป แผนการปฏิบัติราชการ เป็นความยากง่ายของทุกๆรัฐบาลที่จะต้องทำทุกแผนให้สอดคล้องกัน โดยเฉพาะระบบการเงินของภาครัฐซึ่งนำเงินภาษีของคนทุกระดับมาจัดสรร เป็นโครงการต่างๆ เช่น กองทุนหมู่บ้านที่มีการจัดสรรกองทุนในทุกปี ทุกอย่างต้องมีความต่อเนื่องเมื่อเริ่มต้นก็ต้องมีการสานต่อเพื่อความเข้มแข็ง จึงจำเป็นต้องมีงบประมาณมากขึ้น รัฐบาลจึงจำเป็นต้องหารายได้ให้มากขึ้น วันนี้โลกอยู่ได้ด้วยความรู้และเทคโนโลยีรวมทั้งนวัตกรรมใหม่ๆ ถ้าเรามัวจะอยู่แบบเดิมเราจะเดินหน้าไปไหนไม่ได้ ซึ่งจะทำให้ประเทศเสียผลประโยชน์

ขณะที่การใช้ทรัพยากรต้องช่วยกันคิดว่าทำอย่างไรให้ประหยัดนึกถึงลูกหลานในอนาคต หลายอย่างบางคนอยากให้เป็นของส่วนตัวไปเสียทั้งหมด ทั้ง ที่ดิน ป่า ภูเขา แหล่งน้ำ รัฐบาลจึงจำเป็นต้องใช้ยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปีเพื่อหวังผลในอนาคต เรื่องของงบประมาณ เราต้องฟังประชาชนด้วย การจัดสรรงบประมานต้องทำให้คุ้มค่า วันนี้สิ่งที่ทุกคนต้องการคือ เงินกองทุน น้ำ และอีกหลายอย่าง เรื่องนี้รัฐบาลเข้าใจดี รัฐบาลนี้ต้องดูแลทุกคนโดยเฉพาะเกษตรกรซึ่งเป็นผู้มีรายได้น้อย

ในส่วนของวันนี้เราทำทุกอย่างเพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิตให้คนในหมู่บ้านดีขึ้น ก็มีการหารือของ ครม.ว่าเราจะดูแลชาวประมงที่อยู่ริมทะเลอย่างไร ทั้งนี้ พื้นที่ต่างๆ ของประเทศไทยไม่ว่าจะเป็นที่ดินของ สปก.หรือที่ดินที่จัดสรรให้เป็นที่ดินส่วนกลางของประเทศ ซึ่งจำเป็นต้องสงวนไว้ให้กับลูกหลานและเป็นพื้นที่ที่จัดไว้เพื่อทำการเกษตร หากวันหน้าพื้นที่เหล่านี้หายไป จะทำอย่างไร เพราะบางพื้นที่ก็เป็นที่ของเอกชน ซึ่งหากเขาขายการเกษตรก็จะหายไปด้วย แล้วใครหรือพื้นที่ไหนทำการเกษตรได้อีก ต้องเข้าใจว่าทุกคนอยากได้ แต่ถ้าทุกอย่างถูกขายไปทั้งหมดลูกหลานจะทำอย่างไร

“สิ่งที่ผมพูดวันนี้ไม่ใช่จะไปคัดค้านกับใครแต่เราต้องสร้างแต่เราต้องสร้างหลักคิดที่ถูกต้องให้กับประชาชน วันนี้เราเดินหน้าไปสู่การเลือกตั้ง การหาเสียงจะต้องทำตามที่พูดได้จริง ไม่ใช่การขายฝัน เพราะฝัน แม้แต่จะซื้อลอตเตอรี่ก็ยังไม่ถูก ดังนั้นเมื่อฝันแล้วก็ต้องทำให้เป็นไปตามฝันได้ด้วย ฉะนั้นต้องทบทวนว่าเกิดอะไรขึ้น” นายกรัฐมนตรี กล่าว

สำหรับการให้เงินช่วยเหลือในลักษณะรัฐสวัสดิการ ทำเพื่อช่วยเหลือผู้มีรายได้น้อย ดีกว่าจะหว่านไปทั้งหมด ให้ใครก็ได้ แม้จะเป็นสิทธิแต่คงไม่ใช่เราจึงจำเป็นต้องสร้างโอกาสให้กับทุกคนเลี้ยงดูครอบครัว ทุกคนต้องมีโอกาสที่เท่าเทียมกัน และสามารถค้าขายได้อย่างเสรีตามกฎหมายและกติกา คนรวยก็มีโอกาสค้าขายแต่หากทำผิดกฎหมายก็ต้องถูกลงโทษไม่ว่าจะรวยขนาดไหนก็ติดคุกได้เหมือนกัน หลายสิ่งที่ดีเกิดขึ้นในรัฐบาลสมัยนี้ทั้งนั้น เพราะพวกเราช่วยกันทำให้บ้านเมืองสงบสุข ประเทศชาติมั่นคงปลอดภัย เจ้าหน้าที่รัฐสามารถทำงานได้ ถ้าทุกอย่างรวนเรกลับไปเหมือนเดิมก็คงจะเกิดเรื่องราวเหมือนเดิมซ้ำไปซ้ำมา สิ่งดีๆก็จะไม่เกิดและหายไปในพริบตา ดังนั้นการสร้างความเข้มแข็งและกองทุนหมู่บ้านจะต้องทำอย่างต่อเนื่อง

ขณะที่ในตอนท้าย นายกรัฐมนตรียังได้กล่าวกับผู้เข้าร่วมรับฟังว่า “วันนี้ก็อยากจะพูดเยอะๆ หน่อย เพื่ออยากให้ทุกคนได้เรียนรู้ ปีหนึ่งเจอกันครั้งหนึ่ง อย่าเพิ่งเบื่อนะ วันนี้ผมเสียงดุรึเปล่า ก็เสียงมันเป็นอย่างนี้จะให้ทำอย่างไร ผมไม่ได้เสียงหล่อเหมือนยิ่งยง ยอดบัวงาม นะ ผมก็พูดเรื่องเดิมที่พูดเกือบทุกวัน”

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

มาแล้วเพลงที่ 7 “ในความทรงจำ” บิ๊กตู่แต่งเอง https://www.thaiquote.org/content/61751