รายงานระบุว่า พื้นที่ริมถนนที่สถานีวัดคุณภาพอากาศแสดงผลค่าฝุ่นละออง PM2.5 ที่อยู่ในระดับเริ่มมีผลกระทบต่อสุขภาพ มีค่าเกินมาตรฐาน (50 มคก./ลบ.ม.) อยู่ 19 พื้นที่ ส่วนพื้นที่ทั่วไป (ห่างจากริมถนนสายหลัก) โดยรวมอยู่ในระดับเริ่มมีผลกระทบต่อสุขภาพ มีค่าเกินมาตรฐาน (50 มคก./ลบ.ม.) อยู่ 17 พื้นที่

ล่าสุด นายวิจารย์ สิมาฉายา ปลัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ประธานการประชุมเร่งรัดและทบทวนมาตรการป้องกันและแก้ไขปัญหาฝุ่นละอองขนาดเล็ก PM 2.5 ในพื้นที่กรุงเทพมหานครและปริมณฑล ได้เรียกประชุมหลายหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ให้เร่งดำเนินการแก้ปัญหาฝุ่น PM 2.5 และได้เปิดเผยเกี่ยวกับแผนการแก้ไขปัญหา ฝุ่น PM 2.5 ว่า "สิ่งสำคัญของการเกิดปัญหาฝุ่นละอองขนาดเล็ก PM 2.5 คือเรื่องของสภาพอากาศที่เป็นช่วงอากาศปิด และจากปัญหาของระบบการขนส่งสาธารณะที่ส่งผลกระทบต่อการปลดปล่อย PM2.5 ปลัดกระทรวงทรัพยากรฯ

ส่วนทาง ขสมก. เตรียมเร่งรัดปรับเปลี่ยนเชื้อเพลิงรถเมล์ ปรับจำนวนเที่ยวรถและกำจัดรถโดยสารเก่า เพื่อช่วยลดแหล่งกำเนิดการเกิด PM2.5 รวมไปถึงการเผาในที่โล่งแจ้ง"

โดยขณะนี้ได้ประสานขอความร่วมมือ ไปยัง 5 จังหวัดปริมณฑล ได้แก่ จ.นนทบุรี นครปฐม ปทุมธานี สมุทรปราการ และ สมุทรสาคร ห้ามเผาขยะหรืออะไรก็ตาม ในพื้นที่ที่โล่งอย่างเด็ดขาด ตลอด 2 เดือน เพื่อเป็นการช่วยลดแหล่งกำเนิดการเกิด PM2.5

ทั้งนี้ ด้านนางพริ้มเพรา วงศ์สุทธิรัตน์ ผู้ช่วยผู้อำนวยการองค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ เตรียมที่จะปรับจำนวนเที่ยวรถในช่วงนอกเวลาเร่งด่วน เพื่อไม่ให้กระทบผู้ใช้บริการ ซึ่งปกติ รถวิ่ง 4 เที่ยว อาจจะลดเหลือวิ่ง 3 เที่ยว เพื่อลดแหล่งกำเนิดการเกิด PM2.5 พร้อมทั้งตั้งเป้า การกำจัดรถโดยสารเก่า 2,000 คัน ให้หมดในปี 2565

นอกจากนี้ ทางด้าน พลตำรวจตรีนิธิธร จินตกานนท์ ผู้บัญชาการกองบังคับการตำรวจจราจร เตรียมเพิ่มจุดตรวจจับรถควันดำอีก 8 จุด ที่จากเดิมมี 12 จุด เพื่อที่จะลดแหล่งกำเนิดการเกิด PM2.5 โดยขณะนี้ได้ประสานความร่วมมือกับทางกรมควบคุมมลพิษในการนำเครื่องมือมาตรวจจับ ซึ่งสามารถจับควันดำรถที่เกินมาตรฐานได้แล้ว 651 คัน แต่ถ้าเป็นรถเล็กจะใช้อำนาจ คพ. ติดสติ๊กเกอร์ห้ามใช้ชั่วคราว 30 วัน จนกว่าจะปรับเปลี่ยนและผ่านการตรวจสภาพรถอีกครั้งหนึ่ง