ชู 4 ยุทธศาสตร์ดู“ปากท้อง”ปชช. สู่ไทยแลนด์ 4.0

by ThaiQuote, 30 มกราคม 2560

สวัสดีครับ พ่อแม่พี่น้องชาวไทยที่รักทุกท่าน แม้ว่าในปัจจุบันสถานการณ์น้ำท่วม ในพื้นที่จังหวัดภาคใต้ ส่วนใหญ่จะคลี่คลายลงไปในทิศทางที่ “ดีขึ้น” แล้ว สมเด็จพระเจ้าอยู่หัว มหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพพยวรางกูร ยังทรงติดตามสถานการณ์อย่างต่อเนื่อง ด้วยทรงเป็นห่วงราษฎรผู้ประสบภัย ได้มีพระกระแสรับสั่งให้รัฐบาล ดูแลพี่น้องประชาชน ให้มีความสุข มีความพึงพอใจ และกลับมาใช้ชีวิตได้ อย่างเป็นปกติสุขให้ได้โดยเร็ว ทรงโปรดให้หน่วยงานในพระองค์และองคมนตรีลงพื้นที่ เพื่อช่วยเหลือและตรวจเยี่ยมประชาชน การช่วยเหลือของราชการกับประชาชน ได้หารือการทำงานร่วมกันกับรัฐบาลอีกด้วยนะครับ นับเป็นพระมหากรุณาธิคุณของพระองค์ที่มีต่อพี่น้องประสบภัยอย่างหาที่สุดไม่ได้ นอกจากนี้ได้ทรงกำชับให้รัฐบาลได้ดำเนินการอย่างเป็นระบบ มีแบบแผน และมีแผนงานที่ชัดเจน เพื่อขจัดความซ้ำซ้อนในการให้ความช่วยเหลือ รวมทั้ง เตรียม “แผนเผชิญเหตุ” ในทุกพื้นที่ สำหรับเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิด และอาจเกิดซ้ำขึ้นอีก ทั้งนี้รัฐบาลโดยคณะกรรมการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยแห่งชาติ ได้รับแนวทางพระราชทานดังกล่าว ใส่เกล้าใส่กระหม่อมนำไปดำเนินการนับตั้งแต่เกิดวิกฤตอุทกภัยในช่วงแรกช่วงเดือนธันวาคมที่ผ่านมาจนถึงในปัจจุบัน โดยได้ดำเนินการตามแผนป้องกันและบรรเทาสาธารณะภัยแห่งชาติ พ.ศ. 2558 ซึ่งรัฐบาลนี้จัดทำขึ้นสำหรับตอบสนองต่อ “ทุกสาธารณภัย” ของไทย ตาม “ปฏิทินสาธารณภัย” ในรอบปี ทั้งอุทกภัย ภัยแล้ง ภัยจากดินโคลนถล่ม วาตภัย  อัคคีภัย ภัยจากไฟป่าและหมอกควัน แผ่นดินไหวและสึนามิ ภัยจากการคมนาคม และโรคระบาด อีกด้วย เพื่อให้การบริหารจัดการสาธารณภัยเป็นแบบ “ก้าวหน้า–เชิงรุก” กว่าที่เคยเป็นผ่านๆ มานะครับ และก็เป็นไปตามหลักสากลคือ “รู้รับ ปรับตัว ฟื้นเร็วทั่ว อย่างยั่งยืน” สำหรับ “อุทกภัย” ภาคใต้ในครั้งนี้ เป็นปรากฏการณ์ธรรมชาติที่ “รุนแรง” กว่าปกติ อย่างไรก็ตามรัฐบาลได้บูรณาการทั้งหน่วยงานและงบประมาณ ให้มีการบริหารจัดการที่ประสานสอดคล้องกัน ตั้งแต่ระดับนโยบาย ลงไปจนถึงระดับปฏิบัติในพื้นที่ ช่วยให้การระดมสรรพกำลังและทรัพยากร รวมทั้งเงินและสิ่งของบริจาค ได้มีการบริหารจัดการอย่างเป็นระบบ มีทิศทางที่ชัดเจนที่มุ่งไปสู่ “กลุ่มเป้าหมาย” ทุกประเภท ตามความเร่งด่วน, ความสำคัญ เช่น “ในเบื้องต้น” ประชาชนต้องปลอดภัย, การติดต่อสื่อสารจะต้องไม่ถูกตัดขาด,  อาหาร – น้ำดื่มต้องไม่ขาดแคลน,  เครื่องนุ่งห่ม – ยารักษาโรค และสิ่งของที่จำเป็นต้องได้รับการแจกจ่ายอย่างทั่วถึง จากนั้น “ลำดับต่อมา” เมื่อประชาชนเริ่มช่วยตัวเองได้ ต้องสามารถกลับมาใช้ชีวิตได้ตามปกติ ประกอบอาชีพ ทำมาหากินได้ ในเวลาต่อมา โดยโครงสร้างพื้นฐาน ทุกระบบ ต้องได้รับการบูรณะ ให้สามารถใช้การได้ ทั้งถนนหนทาง สะพาน รถไฟ สนามบิน ไฟฟ้า / ประปา การสื่อสาร เป็นต้น ทั้งนี้จะเป็นการดำเนินการในระยะสั้น “เร่งด่วน” ทั้งสิ้น นอกจากหน่วยงานราชการและเอกชนจะมีบทบาทในการทำงานร่วมกัน ตามแนวทาง “ประชารัฐ” แล้ว ผมขอขอบคุณคณะครู นักเรียนอาชีวะและนักเรียนกศน.จากทั่วประเทศที่ได้รวมตัวกันทำความดี จัดเป็นทีม ๆ ละ 15 คน รวมทั้งสิ้นกว่า 1 หมื่นคนในการช่วยเหลือฟื้นฟูให้กับพี่น้องประชาชนผู้ประสบภัย ในการซ่อมรถยนต์กว่า 900 คัน, ซ่อมรถจักรยานยนต์ เกือบ 38,000 คัน, ซ่อมเครื่องจักรกล ราว 4,700 เครื่อง, ซ่อมบ้านเรือน 1,400 กว่าครัวเรือน และซ่อมเครื่องไฟฟ้าเกือบ 5 หมื่นรายการ เป็นต้นนะครับ ซึ่งคงจะต้องทำต่อไป เมื่อวานนี้ผมได้เดินทางไปที่จังหวัด สุราษฎร์ธานี ซึ่งห้วงที่ผ่านมานั้นทุกหน่วยงานได้ลงพื้นที่และร่วมกัน แก้ไขปัญหา รวมทั้งช่วยเหลือประชาชนอย่างต่อเนื่อง การลงไปปฏิบัติราชการในพื้นที่ประสบภัยของผมและคณะในครั้งนี้ ก็เพื่อให้กำลังใจพี่น้องประชาชนและเจ้าหน้าที่รัฐที่มาบริการช่วยเหลือเยียวยาประชาชน รวมถึงพี่น้องประชาชนอื่น ๆและ“จิตอาสา”ที่มาช่วยเหลือพี่น้องชาวใต้ ที่สำคัญก็คือได้ติดตามการทำงานของกองบัญชาการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยแห่งชาติ (ส่วนหน้า) ว่ามีปัญหาข้อขัดข้องอย่างไรและเน้นย้ำให้เตรียมการฟื้นฟูให้เป็นระบบแบบบูรณาการ แม้ปัจจุบันนั้นสถานการณ์ก็ดีขึ้นน้ำลดลง ตามลำดับ แต่อย่างไรก็ตามกองบัญชาการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยแห่งชาติ(ส่วนหน้า) จะยังคงทำหน้าที่ต่อไป จนกว่าจะบรรลุ“ภารกิจ”ในการบำบัดทุกข์บำรุงสุขให้กับพี่น้องผู้ประสบภัย นำความสุขและชีวิตที่เป็นปกติสุข กลับคืนมาโดยเร็ว ผมได้กำชับกองบัญชาการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยแห่งชาติ (ส่วนหน้า) และเจ้าหน้าที่ว่าต้องมีความพร้อมอยู่เสมอ หากจะมีอุทกภัยเกิดขึ้นอีกช่วงนี้งานที่สำคัญคือ การฟื้นฟู ทั้งบ้านเรือน ที่อยู่อาศัย พื้นที่การเกษตร, อุตสาหกรรม ฯลฯ ให้เร็ว เพื่อสร้างความยั่งยืน ในระยะต่อไปนะครับ การดำเนินการในขั้นต่อไปในระยะยาวและยั่งยืนนั้นรัฐบาลได้น้อมนำแนวทางการแก้ปัญหาทั้งหมดที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 พระราชทานไว้มาเป็นแนวทางแก้ปัญหาอย่างยั่งยืน โดยพิจารณาจากข้อมูลพื้นฐาน – ข้อเท็จจริงที่เป็นปัจจุบัน – การพยากรณ์อากาศ – การอ่านแผนที่ ภาพถ่ายดาวเทียม และภูมิศาสตร์ จากทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการปรับปรุง – แก้ไขปัญหาเดิมให้ถูกต้องเป็นไปตามกฎหมาย เพื่อไม่ให้เกิดปัญหาซ้ำรอยอีก โดยใช้วิกฤตนี้เป็นโอกาสในการปรับ “ผังเมือง ผังน้ำ ผังการคมนาคม” ให้ไม่เป็นอุปสรรคต่อกัน และไม่ฝืนธรรมชาติ การดูแลป่าพลุ พื้นที่ซับน้ำ แก้มลิง Flood way  ทะเลสาบ คลองบายพาส ธรรมชาติและสร้างขึ้นใหม่ ประตู เปิด/ปิดน้ำ ให้สอดคล้องกับน้ำทะเลหนุน ทุกอย่างต้องเป็นไปตามหลักวิชาการของหน่วยงาน และหลักตามธรรมชาติที่ปราชญ์ชาวบ้าน มีความคุ้นเคยกับพื้นที่เป็นอย่างดี อย่างไรก็ตามหากแก้ปัญหา “น้ำท่วม” ได้ แต่ต้องไม่สร้างปัญหาเรื่องภัยแล้ว “น้ำแล้ง” ต่อไปด้วยนะครับ ทั้งนี้ “ศาสตร์พระราชา” สอนให้เราอยู่ร่วมกับธรรมชาติได้อย่างปกติสุข ซึ่งเราจะต้องดูแลตั้งแต่ป่าบนภูเขา เป็นทั้งป่าต้นน้ำรักษาสมดุลระบบนิเวศ และช่วยป้องกันน้ำป่า ไฟป่าลงมาตามเส้นทางน้ำ, แม่น้ำ แหล่งน้ำ แล้วไปสู่ทะเล หากเรามีวินัย  “เดินตามรอยพระบาท” อย่างเคร่งครัด ตั้งแต่ “ต้นทางน้ำ กลางทาง ปลายทางน้ำ คือ มหาสมุทร” เราก็จะห่างไกลจาก “น้ำท่วม/น้ำแล้ง” ได้อย่างยั่งยืน ครับ พี่น้องประชาชน ครับ, สิ่งหนึ่งที่ประชาชนคนไทยส่วนใหญ่ของประเทศ อาจยังไม่เข้าใจไม่ได้ติดตาม หรือไม่ตระหนักถึงความสำคัญ แต่รัฐบาลนี้ได้เร่งรัดให้ดำเนินการมาโดยตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาก็คือเรื่อง “ผังเมือง” ถ้านำอุทาหรณ์จากน้ำท่วมภาคใต้ครั้งที่แล้ว มาพิจารณาถึงความไม่สอดคล้องกันแล้ว จะเห็นว่า “ธรรมชาติ กับ สิ่งที่มนุษย์สร้างขึ้น” หรือ “ผังน้ำ กับ ผังเมือง” นั้น เป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้เกิดวิกฤตมากกว่าที่ควรจะเป็น เมื่อการถือครองที่ดินการใช้ประโยชน์ทางการเกษตร - อุตสาหกรรม รวมทั้งการขยายตัวของชุมชน “แบบไร้การควบคุม” ไม่เป็นระเบียบ ไม่เป็นไปตามแบบแผน ตามหลักวิชาการผังเมืองที่สำคัญก็คือ “ผิดกฎหมาย” และสิ่งปลูกสร้าง เส้นทางคมนาคม ทั้งทางถนน ทางราง ที่กีดขวางเส้นทางการไหลของน้ำ จากแนวเขาลงสู่ทะเล ซึ่งเป็นภูมิศาสตร์ที่ไม่อาจแก้ไขได้ แต่เป็นหน้าที่ของเราที่ต้องวางแผน วางผังเมือง, ผังชุมชน ให้สอดคล้องเหมาะสม 10 กว่าปี ก่อนที่รัฐบาลนี้จะเข้ามาบริหารประเทศ มีการประกาศใช้ “ผังเมืองรวม” เฉลี่ยแล้ว เพียง 12 ผังต่อปี ทำให้เรามีผังเมืองรวมของจังหวัด เพียง 19 จังหวัด “ทั่วประเทศ”  แต่ 2 ปีกว่าของรัฐบาลนี้มีการประกาศใช้ “ผังเมืองรวม” เฉลี่ย  39 ผังต่อปี ทำให้ปัจจุบัน  49 จังหวัด มีการประกาศใช้ผังเมืองรวมแล้ว และ จะดำเนินการให้ “ครบถ้วน” ภายในสิ้นเดือนมีนาคมนี้ สิ่งนี้ไม่ใช่เพียงแสดงถึงประสิทธิภาพในการทำงาน “เท่านั้น”  หากแต่เป็นการทำงานอย่างมีวิสัยทัศน์และมียุทธศาสตร์  เนื่องจากผังเมืองนั้นไม่เพียงส่งผลกระทบต่อ “ผังน้ำ” ตามที่ผมได้กล่าวไว้แล้ว แต่มีความเชื่อมโยงกับการ “โซนนิ่ง”พื้นที่ คือการใช้พื้นที่ของชุมชน – เมือง – และประเทศ อย่างมีประสิทธิภาพ  เช่น พื้นที่ราชการ, พื้นที่การศึกษา, พื้นที่พักผ่อนหย่อนใจ, พื้นที่เกษตรกรรม – อุตสาหกรรม พื้นที่ป่า – ชลประทาน, พื้นที่กำจัดขยะ – พื้นที่ผลิตไฟฟ้า ที่มีปริมาณ “มากขึ้นทุกปี” เป็นต้น         พื้นที่ต่าง ๆ เหล่านี้ต้องไม่รบกวน และไม่สร้างปัญหาซึ่งกันและกัน ซึ่งเรามองในภาพรวมก็จะเห็นมีพื้นที่การค้า การลงทุน – เมืองท่า – เมืองชายแดน – เมืองท่องเที่ยว – กลุ่มจังหวัด – เขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษทั้ง 10 แห่ง ทั้งหมดนี้ จะต้องเชื่อมโยงกันในเรื่องของการเดินทางของแรงงาน – การขนส่งสินค้า – การเคลื่อนย้ายประชาชน – การสัญจรของนักท่องเที่ยว ทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติ ทั้งหมดนี้ เป็น “โจทย์” ของเรา ที่เกี่ยวข้องกับผังเมืองรวม ของทั้งประเทศ ที่ส่งผลกระทบทั้งมิติสังคม – เศรษฐกิจ – ความมั่นคง – และสิ่งแวดล้อม “โดยรวม”  เกี่ยวข้องกับการวางแผนระบบโครงสร้างพื้นฐาน ด้านการคมนาคมของประเทศ ทั้งทางถนน ทางราง ทางน้ำ และทางอากาศ  เกี่ยวข้องกับการกระจายความเจริญจากเขตเมืองสู่ท้องถิ่น  เกี่ยวข้องกับการยกระดับคุณภาพชีวิตของพี่น้องประชาชน  ที่ผมอยากให้ทุกคนได้เข้าใจ ตระหนัก และร่วมมือกับรัฐบาล ในการจะเดินหน้าประเทศ ในการแก้ไขสิ่งที่ผิด ให้ถูกต้อง เสียตั้งแต่วันนี้  นะครับ อีกหลายเรื่องที่รัฐบาลและคสช.ต้องการวางรากฐานการพัฒนาประเทศ ซึ่งการปฏิรูปต่าง ๆ ตามยุทธศาสตร์ชาตินั้น จำเป็นต้องการความร่วมมือจากพี่น้องประชาชน รวมทั้ง ความปรองดองของทุก ๆฝ่าย  อย่างไรก็ตามเรื่อง “ปากท้อง”ยังเป็นสิ่งแรก ๆที่รัฐบาลให้ความสำคัญ เพื่อจะขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยให้ก้าวหน้ามุ่งสู่การเป็น “ไทยแลนด์4.0”    2 ปีกว่าที่ผ่านมานั้นรัฐบาลได้ผลักดัน 4 ยุทธศาสตร์สำคัญเกี่ยวกับการดูแลค่าครองชีพ,การบริหารจัดการสินค้าเกษตร, การสร้างความเข้มแข็งให้ผู้ประกอบการ และการส่งเสริมการค้าการลงทุนระหว่างประเทศ โดยมีผลการดำเนินงานที่สำคัญ อาทิเช่น... (1) การพัฒนาโชห่วยทั่วประเทศภายใต้โครงการ “ฉลาดซื้อ ประหยัดใช้”ช่วยลดค่าครองชีพให้กับประชาชนได้ 35,500 ล้านบาท (2) โครงการ “ประชารัฐร่วมใจ”จัดหาปัจจัยการผลิต, ชะลอการขายข้าวและนำผู้ซื้อ –ผู้นำเข้าจาก 29 ประเทศทั่วโลก มาเจรจาซื้อขายข้าว –มันสำปะหลัง  สามารถดึงราคาข้าวจาก 8,500บาท  เป็น 12,000 บาทต่อตัน  และทวงคืนแชมป์ ส่งออกข้าวในต่างประเทศ ได้รับรางวัล “ข้าวดีเด่น” ของโลกจากงาน World Rice Conference 2016  รวมทั้ง บริหารจัดการพืชเศรษฐกิจของประเทศ ได้แก่มันสำปะหลัง, ปาล์มน้ำมัน, ยางพารา และผลไม้ ทำให้เกิดยอดขายกว่า 90,000 ล้านบาท (3) การสร้างความเข้มแข็งให้ผู้ประกอบการโดยได้มีการผลักดันกฎหมายสำคัญ 10 ฉบับ  เช่นกฎหมายหลักประกันทางธุรกิจ, พ.ร.บ.ความลับทางการค้า, พ.ร.บ.มาตราชั่งตวงวัด,  พ.ร.บ.เครื่องหมายการค้า,  พ.ร.บ. ลิขสิทธ์,  พ.ร.บ.สิทธิบัตร,  พ.ร.บ.การแข่งขันทางการค้า,  พ.ร.บ.บริษัทมหาชนจำกัด และ พ.ร.บ.จัดตั้งนิติบุคคลคนเดียวเป็นต้น  ทั้งนี้ก็เพื่ออำนวยความสะดวกทางการค้า และสนับสนุน SMEs   นอกจากนี้ให้ความสำคัญกับ “ตลาดออนไลน์” เพื่อช่วยผู้ประกอบการและเกษตรกรให้มีช่องทางการขายสินค้าเพิ่มเติม เช่นเว็บไซต์ THAITRADE.COM และโครงการ Smart Online SMEs ซึ่งได้รับรางวัล WSIS Prize 2016 จากองค์การสหประชาชาติ (UN) ด้านการพัฒนาศักยภาพผู้ประกอบการค้าออนไลน์ “ดีที่สุดในโลก” และ (4) การผลักดันการค้า–การลงทุนระหว่างประเทศ เน้นการสร้าง “หุ้นส่วนทางยุทธศาสตร์” (Strategic Partnership) ควบคู่กับการทำ FTA สร้างมูลค่าส่งออกปีละกว่า 7.5 ล้านล้านบาท ขยายตัวเป็นอันดับที่ 11 ของโลก สำหรับนวัตกรรมใหม่ด้านการเงิน ที่รัฐบาลส่งเสริมและเปิดให้บริการอย่างเป็นทางการในวันนี้ (27 มกราคม) คือ “Prompt Pay” ภายใต้คำขวัญ “การเงินยุคใหม่ คนไทยยุคดิจิทัล” ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของ “ไทยแลนด์ 4.0”  เป็นการบริการ “ทางเลือก”ใหม่ในการโอนเงิน ที่เสียค่าธรรมเนียม “ถูกลงมาก” เช่น โอนเงินไม่เกิน 5,000 บาท “ฟรี” ไม่มีค่าธรรมเนียม  ทั้งนี้ การลดธุรกรรมต่าง ๆด้วย “เงินสด”ลงไป 30 % จากปัจจุบันจะช่วยให้ประเทศสามารถลด “ต้นทุนการจัดการเงินสด” ในอีก 10 ปีข้างหน้า ได้ราว  2 หมื่นล้านบาทต่อปี ผมถือเป็นความก้าวหน้าที่สำคัญของเราในยุคดิจิทัลที่ใช้เวลาเพียงปีเศษ ๆ เท่านั้นก็สามารถพัฒนาระบบได้เสร็จ เร็วกว่าหลาย ๆ ประเทศที่ต้องการจะมีบริการแบบนี้ แต่ใช้เวลา 3 – 5 ปี  ถือเป็นการร่วมแรงร่วมใจกันของหลายหน่วยงานทั้งภาครัฐและเอกชน อาทิ กระทรวงการคลัง, ธนาคารแห่งประเทศไทย, สมาคมธนาคารไทย, ธนาคารพาณิชย์ และสถาบันการเงินเฉพาะกิจของรัฐ ทั้งนี้การโอนเงินก็ทำได้ “ไม่ยาก – สะดวก – รวดเร็ว – ปลอดภัย” (ตามมาตรฐานสากล ISO 27001 และตรวจสอบโดยธนาคารแห่งประเทศไทย)  โอนได้ทั้งที่ตู้ ATM หรือ mobile banking และ internet banking                  ใช้เพียงเลขประจำตัวประชาชน (13 หลัก) หรือหมายเลขโทรศัพท์มือถือ (ตามความพอใจ)  ไม่ต้องใช้เลขที่บัญชีเงินฝากอย่างเดิม  ในอนาคตการจับจ่ายซื้อของ หรือโอนเงินให้กัน ก็ทำได้สะดวก รวดเร็ว และประหยัด เหมาะกับ “ยุคเศรษฐกิจดิจิทัล” ซึ่งภาครัฐได้นำร่องการใช้พร้อมเพย์ไปแล้ว เช่น การโอนเงินสวัสดิการของรัฐ สำหรับช่วยเหลือการเลี้ยงดูเด็กแรกเกิด  และโครงการลงทะเบียนผู้มีรายได้น้อย ที่เปิดให้ลงทะเบียนไป เมื่อกลางปี ที่ผ่านมา  และจะเปิดให้ลงทะเบียนอีกครั้ง เร็วๆนี้ ก็ขอให้พี่น้องประชาชนติดตามข่าวสารของทางราชการ อย่างใกล้ชิดและต่อเนื่อง  นะครับ พี่น้องประชาชน ที่รักครับ, หลายทศวรรษที่ผ่าน ๆมานั้นเราให้ความสำคัญในการหารายได้เข้าประเทศ โดยเน้นหนักไปที่ “การส่งออก และให้ความสำคัญกับ “อุตสาหกรรมการท่องเที่ยวและภาคบริการ” น้อยเกินไป  ทั้ง ๆที่มีการลงทุนที่น้อยกว่าใช้ทรัพยากรที่มีอยู่เดิม ประกอบกับการบริหารจัดการอย่างเป็นระบบ และการส่งเสริมที่ครบวงจรก็จะทำให้ประเทศไทยเรานั้น มีเงินทุนหมุนเวียนในระบบ เพื่อค้ำจุนเศรษฐกิจไทย ในช่วงที่เศรษฐกิจโลกชะลอตัวได้ เป็นอย่างดี ทั้งนี้ปี 2559 ภาคการท่องเที่ยวสร้างรายได้ให้กับประเทศเป็นมูลค่ารวมทั้งสิ้น 2.5 ล้านล้านบาท เป็นตลาดต่างประเทศ 1.64 ล้านล้านบาท และตลาดในประเทศ 0.87ล้านล้านบาท  คิดเป็นร้อยละ 18 ของ GDP ก่อให้เกิดการจ้างงานประมาณ 12.5 ล้านคน “เพิ่มขึ้น” ร้อยละ 11 จากปี 2558 โดยตั้งแต่ปี 2556 – 2558รายได้จากการท่องเที่ยว มีปริมาณสูง อย่างต่อเนื่อง สำหรับปี 2560 คาดว่าเป้าหมายรายได้จากการท่องเที่ยวที่ตั้งไว้ “เติบโต” ร้อยละ 10  จะก่อให้เกิดรายได้ประมาณ 2.7 ล้านล้านบาท  ซึ่งคิดเป็นสัดส่วนประมาณร้อยละ 18.6 ของ GDP  และคาดว่าจะก่อให้เกิดการจ้างงานประมาณ 13.75 ล้านคน เพิ่มขึ้นประมาณร้อยละ 10 จากปี 2559 ในวันนี้ผมอยากเชิญชวนพวกเราทุกคนร่วม “เทศกาลเที่ยวเมืองไทย ประจำปี 2560” ครั้งที่ 37 ระหว่างวันที่ 25 ถึง 29 มกราคม 2560 เวลา 14:00 – 22:00นาฬิกา ณ สวนลุมพินี ซึ่งนอกจากจะนำเสนอรูปแบบกิจกรรมการท่องเที่ยวที่หลากหลาย และ รวบรวมของดี –ของเด่นจากทุกภูมิภาคทั่วประเทศไทยแล้ว ยังช่วยปลุกกระแส “ท่องเที่ยววิถีไทย เก๋ไก๋สไตล์ลึกซึ้ง” เพื่อหนุนตลาดการท่องเที่ยวของเรา ให้เป็นไปตามเป้าหมายที่วางเอาไว้ กิจกรรมแนะนำดีๆ ที่ผมอยากแนะนำ และส่งเสริมให้ดำเนินการ “ทั่วประเทศ” ได้แก่กิจกรรมแต่งไทยได้โชค, โครงการหลวง, ประชารัฐสุขใจ, เขตทหารท่องเที่ยวได้,  และโครงการ 1672 เบอร์เดียวเที่ยวทั่วไทย สำหรับการรณรงค์ที่สำคัญ ได้แก่ การใช้บรรจุภัณฑ์สำหรับบรรจุอาหาร ที่สะอาดปลอดภัย ผลิตจากกระดาษสามารถย่อยสลายได้ 100%  การรับซื้อน้ำมันพืช “ที่ใช้งานแล้ว” จากผู้ออกร้านจำหน่ายอาหารในงาน โดยคาดว่าจะมีปริมาณการใช้น้ำมันพืช 1,500 ลิตร/วัน  เพื่อนำไปผลิตเป็นพลังงานไบโอดีเซลนำกลับมาใช้งานต่อไป โครงการ “ขยะให้โชค” มุ่งสร้างวัฒนธรรมในการรับผิดชอบต่อสังคม และรักษาสิ่งแวดล้อม เพื่อลดปริมาณขยะจากต้นทาง สร้างระบบการจัดการขยะใส่ใจสิ่งแวดล้อม,  การแยกที่ทิ้งขยะเป็น 3 ส่วนคือ เศษอาหารและขยะทั่วไป – ขวดแก้วและกระป๋อง – พลาสติก,  และโซนพิเศษ “รวมน้ำใจมอบให้ชาวใต้” พร้อมกิจกรรมประมูลสินค้า 5 ภูมิภาค เพื่อนำรายได้ “ทั้งหมด” มอบให้แก่พี่น้องชาวใต้ ผู้ประสบอุทกภัย นะครับ สิ่งที่รัฐบาล “เดินหน้า” เพื่อขยายศักยภาพด้านการท่องเที่ยวมีอีกอย่างน้อย  2 ประการ คือ (1) การมุ่งเน้นนโยบายกระจายการท่องเที่ยวสู่ “เมืองรอง” โดยการเชื่อมโยงแหล่งท่องเที่ยว และกิจกรรม จากเมืองสู่เมือง จากชุมชนสู่ชุมชน และ (2) การจัดทำฐานข้อมูลการท่องเที่ยว ทั้งข้อมูลแหล่งท่องเที่ยว – พี่พัก – การเดินทาง – ค่าใช้จ่าย ทั้งนี้จะใช้เทคโนโลยีดิจิทัล – สารสนเทศ – สื่อออนไลน์ ที่เข้าถึงง่ายและสะดวก ในการสืบค้นข้อมูล และมีความแม่นยำ สำหรับให้บริการนักท่องเที่ยว ทั้งชาวต่างชาติ และคนไทยด้วยกันเอง ที่สำคัญก็คือ ความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สิน, การไม่เอาเปรียบนักท่องเที่ยว การสร้างความประทับใจด้วยรอยยิ้ม – ความมีน้ำใจ – บริการดี – มีความสะอาด สิ่งเหล่านี้ จะช่วย“ผูกมัดใจ” ให้หวนกลับมาเยือนบ้านเมืองเรา ครั้งแล้วครั้งเล่า นะครับ อีกกรณี คือ การที่เราจะปฏิรูปประเทศเพื่อนำพาประเทศชาติ ไปสู่ความเข้มแข็ง มีขีดความสามารถในการแข่งขัน และ ยกระดับรายได้ เศรษฐกิจระดับฐานรากให้เกิดความมั่นคงในทุกมิติ เช่นการก่อสร้างระบบการขนส่ง ถนน – ทางรถไฟ สาธารณูปโภคพื้นฐาน พลังงาน การแก้ปัญหาน้ำท่วม - ภัยแล้ง อย่างยั่งยืนจำเป็นจะต้องมีการจัดทำ โครงการ งบประมาณ และ มีการทำประชาพิจารณ์ผ่านการพิจารณาของคณะกรรมการสิ่งแวดล้อม ซึ่งรัฐบาลและ คสช. ไม่ได้ยกเว้นเรื่องเหล่านี้นะครับ หลายโครงการมีปัญหาจากประชาชนคงไม่เข้าใจข้อเท็จจริง, ผลดี/ผลเสีย ซึ่งต้องพิจารณา ถึงความเป็นไปได้ ว่าอะไรคือผลดี มากกว่าผลเสีย หลายอย่างถูกบิดเบือนข้อมูล จากกลุ่ม NGO ที่ไม่หวังดี นอกพื้นที่ ทำให้ไม่สามารถดำเนินการได้ทำให้การแก้ปัญหาอย่างยั่งยืน ไม่เกิดขึ้น ไม่ตรงความต้องการของประชาชนในพื้นที่ จนเกิดความเสียหาย ซ้ำแล้ว ซ้ำเล่า โดยเฉพาะอย่างยิ่ง อุทกภัย - ภัยแล้ง การพัฒนาเศรษฐกิจเพื่อให้เศรษฐกิจฐานรากมีโอกาส มีพื้นที่มากขึ้น ในการหาอาชีพ สร้างรายได้ อยากให้ประชาชน สังคม ได้กรุณาช่วยกันคิด พิจารณาให้ถ่องแท้ นะครับ รัฐบาลและ คสช. นั้นไม่ได้มุ่งหวังให้เกิดการใช้จ่ายงบประมาณ เพื่อหวังผลประโยชน์ใดๆมุ่งแต่เพียงให้ประชาชนได้มีการยกระดับ -มีการพัฒนาคุณภาพชีวิต ให้ดีขึ้นโดยเร็ว แต่ทั้งนี้รัฐบาลก็ได้พิจารณาถึงการรักษาทรัพยากรธรรมชาติ และสิ่งแวดล้อม อย่างสมดุล ไปพร้อมๆ กัน เรื่องการทำงานของ ป.ย.ป. ขอให้มีโอกาสได้เริ่มมีการทำงานก่อน อย่าเพิ่งแสดงความคิดเห็นในเวลานี้ไม่ว่าจากกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งก็ตาม / ซึ่งยังไม่ตรงกัน ให้ไปแสดงความคิดเห็น ต่อคณะกรรมการ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง คณะกรรมการ ปรองดอง / หากยังเป็นแบบนี้ ก็แน่นอนว่า ไม่สำเร็จตั้งแต่เริ่มต้น ขอให้ช่วยกัน ทำให้ถูกต้อง ครับ คณะกรรมการปรองดองจะมี "คณะใหญ่" และ "คณะอนุกรรมการ" แต่ละฝ่าย เช่น คณะอนุกรรมการฝ่ายกฎหมาย,ฝ่ายเศรษฐกิจ, ฝ่ายการเมือง ฝ่ายประชาชน ที่ต้องทำงานร่วมกัน เสนอคณะกรรมการปรองดอง เพื่อพิจารณา จากนั้นต้องนำไปเป็นข้อเสนอต่อ คณะกรรมการ ป.ย.ป. และรัฐบาล ต่อไป ครับ สุดท้ายนี้ ผมขอกล่าวถึงเรื่องสำคัญอีกประการหนึ่ง อาจจะสำคัญที่สุด ในเวลานี้ ก็คือเราต้องทำให้คนไทย สังคมไทยเป็น “สังคมแห่งการเรียนรู้” มีสติปัญญาในการที่จะแยกแยะสิ่งหนึ่งออกจากอีกสิ่งหนึ่ง เช่น “ความจริง – ความเท็จ, ความดี – ความเลว” ตรวจสอบข้อเท็จจริงจากหลาย ๆ แหล่ง โดยเฉพาะโซเชียลมีเดีย ที่ต้องมีการตรวจสอบ “ความน่าเชื่อถือ” ด้วย  ก่อนที่จะเชื่อ จะพูด จะขยายความต่อไป หลายอย่างทำได้ หลายอย่างทำไม่ได้ หลายอย่างทำได้เพียงบางส่วน ทั้งนี้ ต้องพิจารณาผลกระทบ เพราะอาจสร้างความเดือดร้อนแก่องค์กร ประเทศ ชาติได้  การขยายความ วิพาก วิจารณ์จนเกินเลย โดยปราศจากข้อมูลที่ถูกต้อง อาจจะเป็นการประจานความผิดเหล่านั้น ซึ่งเราควรจะแก้ไขให้ได้ ด้วยตัวเราเอง ประเทศเราเอง โดยไม่ต้องให้โลก เขารับรู้ไปด้วย จริงบ้าง ไม่จริงบ้าง อันตรายกับการที่เรากำลังพยายามปฏิรูปประเทศ อยู่ในปัจจุบัน ซึ่งเรากำลังถูกจับตามอง จากหลายองค์กรในต่างประเทศอยู่ การเอาชนะกัน หรือการดำเนินการใดๆ ที่ซ้ายสุด ขวาสุด “สุดโต่ง” เกินไป อาจจะทำให้เกิดการเข้าใจผิด เข้าใจว่าประเทศไทย กำลังมี “ความขัดแย้ง” ไม่มั่นคง บ้านเมืองไม่มีเสถียรภาพ สิ่งดีๆ ที่เรากำลังทำมากมาย ก็จะไม่ได้รับความสนใจเท่าที่ควร  คนไทยด้วยกันเองยังไม่เข้าใจ ต่างประเทศจะเข้าใจได้อย่างไร อยากให้คนไทยทุกคน รักศักดิ์ศรีประเทศของเรา การกระทำความผิด ให้ใช้กฎหมาย กระบวนการยุติธรรมตัดสิน อย่าตัดสินกันเอง พูดจากัน ขยายความจน ความผิดส่วนบุคคล กลายเป็นความผิดขององค์กร ของรัฐบาล หรือของประเทศชาติ ผมขอฝากให้ทุกคน ใช้ “จิตสำนึก” ใช้สติปัญญา ไม่ว่าจะกระทำการใดๆ รัฐบาล ข้าราชการ ภาคประชาสังคม ธุรกิจเอกชน  สิทธิมนุษยชน ประชาชนทุกหมู่เหล่า ต้องสำนึกในความเป็นคนไทย รักประเทศไทยให้ถูกวิธี อย่ามองทุกอย่างเลวร้ายไปทั้งหมด ถึงแม้ว่า จะทำด้วยความหวังดี เจตนาดี แต่หลายเรื่องดูจะเลยเถิดไปทำให้ประเทศชาติเสียหายสื่อโซเชียลมีเดีย ควรคำนึงถึงเรื่องเหล่านี้ให้มาก ไม่มีใครทำอะไรได้ 100% ทันที ทุกอย่างต้องเริ่มจาก 1 % ก่อน เหมือนจะนับ 10 ก็ต้องเริ่มจากนับ 1 เสมอ ทำไมเราจะต้องไปขยายความ ต่อเติมตัวเลข จากการประเมินของภายนอกให้ดูแย่ไปกว่าเดิม เราต้องช่วยกันแก้ปัญหาเหล่านั้นซิครับ ซึ่งเป็นปัญหาภายในของเราด้วยความเป็นจริง ด้วยสายตาที่เป็นกลางและจิตใจที่เป็นธรรม ต่างประเทศก็คงจะเข้าใจเราได้ในไม่ช้า ผมคิดว่าเขาเข้าใจแต่เขาไม่วางใจว่าความขัดแย้งเหล่านี้ จะยังคงอยู่ต่อไปอีกหรือไม่  หากยังคงเป็นอยู่ โอกาสของเรา ที่มีอยู่มากมาย จะไม่เหลืออะไรไว้อีกเลย เมื่อนั้น เราจะมาสำนึก – เสียใจกันภายหลัง ก็คงไม่มีประโยชน์  เหมือนบทกลอนของคุณนภาลัย (ฤกษ์ชนะ) สุวรรณธาดา บทหนึ่งที่กล่าวไว้ว่า “ทุกวันนี้ ศึกไกล ยังไม่ห่วง แต่หวั่นทรวง ศึกใกล้ ไล่ข่มเหง  ถ้าคนไทย หันมาฆ่ากันเอง จะร้องเพลงชาติไทย ให้ใครฟัง”  คิดดูนะครับ ว่าเราควรจะช่วยกันทำอย่างไร ทำอะไรกันบ้าง ก่อนที่ทุกอย่างจะสายเกินไป ขอบคุณครับ ขอให้ “ทุกคน” มีความสุข ในช่วงวันหยุดสุดสัปดาห์ และวันตรุษจีน ช่วยกันส่งน้ำใจ ห่วงใย ไปภาคใต้ ด้วยนะครับที่กำลังน้ำท่วมอยู่ ขอบคุณครับสวัสดีครับ