จากการศึกษาเบื้องต้นสรุปว่าผู้ที่จะขับขี่รถขนาดเครื่องยนต์ตั้งแต่ 400 ซีซีได้นั้นจะต้องมีอายุ 20 บริบูรณ์ขึ้นไปและจะต้องมีใบอนุญาตขับขี่รถจักรยานยนต์แบบธรรมดาก่อน โดยหากจะเปลี่ยนเป็นใบอนุญาตขับขี่รถจักรยานยนต์ขนาดใหญ่ ผู้ขับขี่จะต้องเข้าทำการทดสอบใหม่ทั้งภาคทฤษฏีและภาคปฏิบัติโดยเฉพาะภาคปฏิบัติจะต้องทดสอบขี่กับรถจักรยานยนต์ขนาดใหญ่เท่านั้น เพื่อเป็นการเพิ่มความปลอดภัยในการขับขี่รถจักรยานยนต์ขนาดใหญ่ เพราะปัจจุบันรถจักรยานยนต์ขนาดใหญ่หรือบิ๊กไบค์ได้รับความนิยมเป็นจำนวนมาก โดยเฉลี่ยขณะนี้ทั้งประเทศมีรถที่จะทะเบียนประมาณ 100,000 กว่าคัน ซึ่งหากยังไม่มีการควบคุมอายุผู้ที่จะขับขี่นั้นจะส่งผลให้เกิดอุบัติเหตุเป็นจำนวนมาก เพราะจากข้อมูลเบื้องต้นพบว่ารถที่เกิดอุบัติเหตุบนท้องถนนมากที่สุดคือ รถบิ๊กไบค์ซึ่งมีคนขับอายุไม่ถึง 20 ปีและส่วนมากมักจะใช้ความเร็วเกิน 80 กม.ต่อชม.ด้วย

             พ.ต.อ.เอกรักษ์กล่าวต่อว่า ดังนั้นหากมีการเพิ่มหลักเกณฑ์ในการขอใบอนุญาตขับขี่รถจักรยานยนต์จะสามารถลดการเปิดอุบัติเหตุได้ระดับหนึ่ง เนื่องจากการขับรถขนาดใหญ่ตัวผู้ขับเองจะต้องมีวุฒิภาวะมากขึ้น อีกทั้งการควบคุมรถที่มีความเร็วถึง 200 กม.ต่อชม. ผู้ขับขี่ต้องมีความชำนาญมากพอที่จะบังคับรถเพื่อไม่ให้เกิดอุบัติเหตุ ดังนั้นในการศึกษาจึงต้องการให้มีการสอบปฏิบัติกับรถขนาดใหญ่เพื่อดูความชำนาญของตัวผู้ขับขี่

ขณะนี้ทางบก.จร.ได้ส่งรายงานการศึกษาไปยังกรมการขนส่งทางบก (ขบ.) เพื่อให้พิจารณาแนวคิดและรายละเอียดเบื้องต้นว่าจะดำเนินการในรูปแบบใด แต่เบื้องต้นขบ.เห็นด้วยกับหลักการที่บก.จรได้เสนอไป ส่วนจะสามารถประกาศใช้ได้เมื่อใดนั้นก็จะต้องขึ้นอยู่กับการพิจารณา คาดหากขบ.ดำเนินการเสร็จคาดว่า จะสามารถประกาศใช้ได้ภายในปี 2559 นี้ อย่างไรก็ตามการแก้ไขหลักเกณฑ์สอบใบขับขี่นั้นเป็นไปตามพรบ.รถยนต์ 2522 ซึ่งทางเจ้าหน้าที่ตำรวจในการแก้ไขกฎหมาย

          รายงานข่าวแจ้งว่าจากข้อมูลการจดทะเบียนรถเครื่องยนต์ขนาด 500 ซีซีในเขตกรุงเทพมหานครตั้งแต่ปี 2558จนถึงปัจจุบันมีจำนวน 54,475 คันและมีแนวโน้มจะเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ

ที่มา : thaiquote