นายกฯน้อมนำ “ปรัชญาศก.พอเพียง” จัดทำแผนยุทธศาสตร์ชาติ 20ปี

by ThaiQuote, 28 ตุลาคม 2559

การแสดงออกดังกล่าว  นอกจากจะแสดงให้เห็นถึงความเข้าใจและเห็นใจ ความรู้สึกของประชาชนชาวไทย ต่อการจากไปของ “พระมหากษัตริย์ ผู้ทรงเป็นที่เคารพรักยิ่ง” ของพสกนิกรไทย ซึ่งเป็นการสูญเสียครั้งยิ่งใหญ่แล้ว ยังแสดงให้เห็นถึงการยกย่องในพระราชกรณียกิจ ที่ทรงทุ่มเท เพื่อประเทศชาติและประชาชน มาเป็นระยะเวลา 70 ปี ซึ่งยาวนานกว่าพระมหากษัตริย์พระองค์ใดในประวัติศาสตร์โลก  รวมทั้งการยอมรับในหลักการทรงงาน และหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ ที่มีคุณูปการอย่างยิ่ง ต่อมวลมนุษยชาติ

ขอขอบคุณและขอชื่นชม พี่น้องประชาชนทุกหมู่เหล่า ทุกเพศ ทุกวัย ทุกเชื้อชาติทุกศาสนา ภายใต้พระบรมโพธิสมภารที่ร่วมกันรำลึกในพระมหากรุณาธิคุณหาที่สุดมิได้ และแสดงออกถึงความจงรักภักดี ที่ไม่มีวันเสื่อมคลาย แด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ ด้วยการร่วมใจกันร้องเพลงสรรเสริญ ณ ท้องสนามหลวง และการทำดีเพื่อพ่อ ด้วยการทำหน้าที่“จิตอาสา” ด้วยนะครับ

พี่น้องประชาชนชาวไทยที่รักครับ

แม้ว่าพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯเสด็จสวรรคตแล้ว  แต่ “ศาสตร์พระราชา” ยังคงอยู่คู่แผ่นดินไทย  รวมทั้ง แนวคิด “หลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง” ที่ได้พระราชทานไว้กว่า 40 ปีที่ผ่านมา เพื่อให้พสกนิกรชาวไทยนำไปเป็นแนวทางการพัฒนาตนเองและครอบครัว ให้มีภูมิคุ้มกันที่มั่นคง ในการดำเนินชีวิตอย่างมีความสุข ซึ่งล้วนมุ่งให้พสกนิกรทุกหมู่เหล่า ดำรงตนเป็น “คนดี” ทั้งคิดดี พูดดี ทำดี ยึดมั่นในคุณธรรม จริยธรรม สุจริต มีวินัย และมีความสามัคคีปรองดองกัน เพื่อร่วมกันพัฒนาประเทศชาติบ้านเมือง ให้มีความเจริญก้าวหน้า เป็นปึกแผ่นมั่นคง ตลอดไป

ขอขอบคุณ “ศูนย์คุณธรรม”ภายใต้กำกับของกระทรวงวัฒนธรรม ที่ได้จัดทำหนังสือ “เทิด ๙ ปกเกศ” โดยรวบรวมพระราชดำรัสและพระบรมราโชวาท ด้านคุณธรรม ๕ ประการได้แก่ ซื่อตรง วินัย รับผิดชอบ จิตอาสา และพอเพียง  สำหรับประชาชนคนไทยได้รับรู้และน้อมนำ “คติ – คำสอน” ของพ่อหลวง ซึ่งเป็นคุณธรรมอันประเสริฐไปปฏิบัติ นับเป็นการถวายความจงรักภักดี ด้วยการปฏิบัติบูชา เพื่อการสืบทอดให้สิ่งดีงาม ธำรงอยู่ในสังคมไทย อย่างมั่นคงสืบไป

สำหรับคุณธรรมด้าน “พอเพียง” นั้น หมายถึง ความพอเพียงในการดำรงชีวิต แบบ “ทางสายกลาง” มีเหตุมีผล ใช้ความรู้ในการตัดสินใจอย่างรอบคอบ มีความพอประมาณ พอดี ไม่เบียดเบียนตนเอง – สังคม – สิ่งแวดล้อม ไม่ประมาท สร้างภูมิคุ้มกันที่ดี รู้เท่าทันการเปลี่ยนแปลง โดยรัฐบาลได้อัญเชิญ “หลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง (SEP)” มาเป็นปรัชญานำทางในการจัดทำยุทธศาสตร์ชาติ (20 ปี) รวมทั้ง แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 12 พ.ศ. 2560 ถึง 2564 โดยมุ่งเน้นที่จะน้อมนำไปสู่การปฏิบัติ การพัฒนาอย่างยั่งยืน อย่างเป็นรูปธรรม ในทุกระดับ ด้วยการสร้างกลไกการขับเคลื่อน ซึ่งบูรณาการหลายหน่วยงาน ได้แต่งตั้ง “คณะกรรมการเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน ตัวย่อ กพย.” มีนายกรัฐมนตรีเป็นประธาน ทำงานในรูปแบบ “ประชารัฐ” เป็นความร่วมมือระหว่างภาครัฐ ประกอบด้วยทุกกระทรวง ภาคเอกชน เช่น สภาอุตสาหกรรมฯ, สภาหอการค้า เป็นต้น และภาควิชาการเช่น สถาบันวิจัยจุฬาภรณ์, สถาบันสิ่งแวดล้อมไทย, สถาบันธรรมรัฐฯ และสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย

อีกปัจจัยที่จะเป็น “กุญแจสู่ความสำเร็จ” คือ การปฏิรูประบบการจัดทำและบริหารงบประมาณแผ่นดิน ในลักษณะบูรณาการเชิงยุทธศาสตร์ กล่าวคือ ให้ทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ร่วมกันคิด ระดมสมอง ในการทำแผนงาน โครงการ กิจกรรม ในแผนงบประมาณ ที่มีความเชื่อมโยงกับหน่วยงานอื่นๆให้ชัดเจน ให้ได้ข้อยุติ เป็นแผนงานระยะสั้น – ระยะกลาง – ระยะยาว ซึ่งสามารถต่อยอดไปถึงการพัฒนา ตามยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี และสอดคล้องกับแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ยกตัวอย่างเช่น “การพัฒนาทรัพยากรมนุษย์” ในระยะ20 ปีข้างหน้า ต้องคำนึงถึงความเป็นอยู่ของประชาชนและสวัสดิการเป็นหลัก การดูแลผู้ที่มีรายได้น้อย และผู้ที่อยู่ในสังคมสูงวัยนะครับ ซึ่งเป็นประชากรส่วนใหญ่ของประเทศ ทั้งวันนี้และในอนาคต จำเป็นต้องมีทั้งมาตรการเร่งด่วน และแผนระยะสั้น “1 ปี” ที่จะต้องเชื่อมโยง สอดคล้อง ต่อยอด ครอบคลุม เป็นการปฏิรูปในอีก 20 ปีข้างหน้า 

โดยนำเอกลักษณ์ที่แตกต่างของในแต่ละพื้นที่มาปรับเปลี่ยนให้เหมาะสม ทันสมัย ให้มีการใช้เทคโนโลยีอย่างรู้เท่าทัน เพิ่มคุณภาพชีวิตที่ดีให้กับประชาชนได้อย่างทั่วถึง เพิ่มมูลค่าให้สินค้า สร้างรายได้ให้กับประเทศ  และวางแนวทางการพัฒนาประเทศในอนาคต ไปสู่ “ไทยแลนด์ 4.0” ตามนโยบายรัฐบาล ที่ต้องการสร้างความเจริญก้าวหน้าอย่างมั่นคง มั่งคั่ง และยั่งยืน พร้อมทั้งเดินหน้าประเทศไทย ตามแนวทางประชาธิปไตยที่สมบูรณ์ตามหลักสากล

ปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงจะเป็นแนวทางการพัฒนา ที่นำไปสู่ความยั่งยืน ได้อย่างไรนั้น  สิ่งสำคัญคือการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ของประเทศ และการสร้างความเข้มแข็งจากภายในก่อน  จากนั้น จึงจะประสานเชื่อมโยง กับระบบเศรษฐกิจโลก รองรับการเปลี่ยนแปลงของโลก กล่าวคือ ให้เริ่มต้นจากการพึ่งพาตนเอง พึ่งพากันเอง และรวมกันเป็นกลุ่มอย่างมีพลัง จากนั้น ต้องเติมองค์ความรู้ให้กับประชาชน ในการสร้างการรับรู้ เข้าใจถึงปัญหาที่ผ่านมา เข้าใจถึงแนวทางการพัฒนาในวันข้างหน้า และมีการเจริญเติบโตอย่างมีคุณภาพ  

โดยลักษณะของ “คนไทย 4.0” ภายใต้ปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง ก็คือ เมื่อไม่พอก็ต้องเติม,  เมื่อพอก็ต้องรู้จักหยุด,  เมื่อเกินก็ต้องรู้จักแบ่งปัน จึงจะช่วยให้การเปลี่ยนผ่านไปสู่ “ไทยแลนด์4.0” ผ่านปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง สามารถสร้างความเข้มแข็งไปด้วยกัน ทุกคนมีโอกาสรับประโยชน์จากการที่เราสร้างมันขึ้นมา ไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง ก้าวออกไปอย่างยั่งยืนเคียงบ่าเคียงไหล่เติบโตไปด้วยกัน 

นโยบาย “ไทยแลนด์ 4.0” จะเป็นกลไกสำคัญปฏิรูปประเทศ ที่มีเป้าหมายชัดเจน คือ การนำพาประเทศพ้น “กับดัก 3 เรื่องด้วยกันก็คือ 

(1) กับดักรายได้ปานกลาง 

(2) กับดักความเหลื่อมล้ำ 

(3) กับดักความไม่สมดุล  

ผ่านโมเดลขับเคลื่อนสู่ความมั่นคง มั่งคั่ง และยั่งยืน ด้วย “3 เครื่องยนต์ใหม่” ก็คือ 

(1) สร้างความมั่นคง โดยการ “ระเบิดจากข้างใน” 

(2) สร้างความมั่งคั่ง โดยการเสริมสร้างศักยภาพในการแข่งขัน และ 

(3) สร้างความยั่งยืน โดยการพัฒนาที่รักษาสมดุล ในด้านมิติเศรษฐกิจและสังคม โดยคำนึงถึงสิ่งแวดล้อมด้วย หรือที่เรียกว่า “การพัฒนาสีเขียว”

ยกตัวอย่างเช่น “การสร้างความเข้มแข็ง ระดับฐานราก” โดยในการประชุมคณะรัฐมนตรี ในวันอังคารที่ผ่านมา ได้อนุมัติให้ดำเนินการ “โครงการยกระดับหมู่บ้าน” 74,000 กว่าหมู่บ้าน ทั่วประเทศ ตามแนวทางประชารัฐ โดยจัดสรรงบประมาณ 250,000 บาทต่อหมู่บ้าน อันเป็นการขยายผลจากโครงการเดิม ที่ผ่านมา คือ 

(1) โครงการตำบลละ 5 ล้านบาท และ 

(2) โครงการหมู่บ้านละ 2 แสนบาท ในปีงบประมาณที่ผ่านมา 

ทั้งนี้ จากการรายงานการสำรวจ “ความพึงพอใจ” ของประชาชน โดยสำนักงานสถิติแห่งชาติ ระบุว่าประชาชน มากกว่าร้อยละ 90 มีความพึงพอใจ ในระดับ “สูง”  เนื่องจากได้รับประโยชน์โดยตรง ได้มีส่วนร่วมในการเสนอโครงการ  ดังนั้น จึงถือว่าเป็นการต่อยอดความสำเร็จดังกล่าว โดยโครงการในปีงบประมาณ 2560 นี้ ในเบื้องต้นมีกรอบระยะเวลาในการดำเนินการ 90 วัน ภายใต้กรอบงบประมาณ 250,000 บาทต่อหมู่บ้าน 

อย่างไรก็ตาม เพื่อให้โครงการมีประสิทธิภาพ คุ้มค่า และเป็นประโยชน์สูงสุดต่อพี่น้องประชาชนระดับฐานราก ผมได้สั่งการเพิ่มเติม คือ ต้องไม่ใช่การจัดซื้อครุภัณฑ์ ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ ไม่ใช่การลงทุน  แต่ควรเป็นการใช้จ่ายในโครงการเพื่อชุมชน – ส่วนรวม เช่น ลานตากข้าว, ลานตากมัน, โรงสี, เครื่องมือเครื่องจักรเพื่อการเกษตร หรืออื่นๆ ที่ประชาชนต้องการ เป็นต้น นะครับ

ไม่เป็นการใช้เงินแบบ “เบี้ยหัวแตก” ก็คือแตกแยกกระจายเป็นเล็กๆ น้อยๆ โครงการ ซึ่งเงินจำนวนนี้มีไม่มากนักนะครับ ก็ควรใช้ประโยชน์ เป็นการส่วนรวม อย่าให้กระจายออกไป ไม่เป็นชิ้นเป็นอันนะครับ ที่สำคัญก็คือ การมีส่วนร่วมตั้งแต่การคิดโครงการ, การจัดทำแผนงานที่ชัดเจน ไปจนถึงร่วมบริหารจัดการในรูปแบบของสหกรณ์ เป็นต้น หากประชาชนเข้าใจ ร่วมมือ รัฐบาลก็พร้อมที่จะสนับสนุนโครงการเหล่านั้น อย่างต่อเนื่อง ในทุกพื้นที่ของประเทศในระยะต่อไป

กว่า 2 ปี ของการบริหารราชการแผ่นดิน รัฐบาลได้ประยุกต์หลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง ไปสู่การพัฒนาที่ยั่งยืน โดยยึดถือ “หลักการทรงงาน” ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ คือ “ทำตามขั้นตอน”  ดังพระบรมราโชวาท เมื่อวันที่ 18 กรกฎาคม 2517  

กล่าวโดยสรุปก็คือ ให้เริ่มต้นจากสิ่งที่จำเป็นของประชาชนที่สุดก่อน ได้แก่ การสาธารณสุข การดูแลตนเองขั้นต้น เพื่อลดค่าใช้จ่ายในการรักษาพยาบาล ให้ตนเองไม่เจ็บป่วย  มีสุขภาพที่แข็งแรง  เมื่อประชาชนมีร่างกายที่สมบูรณ์แข็งแรงแล้วก็จะสามารถทำประโยชน์ด้านอื่นๆ ต่อไปได้ 

จากนั้นจะเป็นเรื่องสาธารณูปโภค ขั้นพื้นฐานและสิ่งจำเป็นในการประกอบอาชีพ  อาทิ ถนน แหล่งน้ำ เพื่อการเกษตร การอุปโภคบริโภค ที่เอื้อประโยชน์ต่อประชาชน ทั้งนี้โดยต้องไม่ทำลายทรัพยากรธรรมชาติ รวมถึงการให้ความรู้ทางวิชาการและเทคโนโลยีที่เรียบง่าย เน้นการปรับใช้ภูมิปัญญาท้องถิ่นที่สามารถนำไปปฏิบัติได้ และเกิดประโยชน์สูงสุด

ตัวอย่างนโยบาย “ด้านสังคม” ที่ผ่านมา เช่น

1. การพัฒนา และวางระบบการดูแลสุขภาพ อาทิเช่น

(1) ทีมหมอครอบครัว “1 ทีมฯ ดูแลประชาชน 10,000 คน”

(2) ระบบการรักษาพยาบาลฉุกเฉิน ใช้สิทธิ์ได้ทุกโรงพยาบาล

(3) บริการแพทย์ฉุกเฉิน สายด่วน 1669 

(4) ขยายการบริการแพทย์แผนไทย การใช้สมุนไพรไทยในการรักษา พยาบาลขั้นต้น ก่อนที่จะไปสู่การใช้ยาแผนปัจจุบัน และมีการสร้างนวัตกรรมยา โดยภูมิปัญญาไทย เป็นต้น

2. การพัฒนาระบบสวัสดิการ และลดความเหลื่อมล้ำในสังคม อาทิเช่น               

(1) การพัฒนาที่อยู่อาศัย แก่ผู้มีรายได้น้อย 2.7 ล้านครัวเรือน เช่น ชุมชนดินแดง, ปทุมธานีโมเดล, ชุมชนริมคลองลาดพร้าว เป็นต้น

(2) การเพิ่มเงินอุดหนุนเด็ก – คนพิการ – ผู้สูงอายุ 

(3) การเปิดศูนย์บริการแบบเบ็ดเสร็จ (OSS) สายด่วน 1111 และศูนย์ดำรงธรรม สายด่วน 1567 เป็นต้น

3. การปฏิรูปการศึกษา อาทิเช่น                      

(1) อาชีวศึกษาแบบ “ทวิภาคี”                              

(2) การศึกษาทางไกลผ่านดาวเทียม (DLTV) 

(3) การจัดตั้ง “ศูนย์การเรียนรู้” ทั่วประเทศ เช่น ศูนย์เรียนรู้ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงและเกษตรทฤษฎีใหม่ ของกระทรวงศึกษาธิการ กว่า7,000 แห่งทั่วประเทศ, ศูนย์เรียนรู้การเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตสินค้าเกษตร ของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ 882 แห่งทั่วประเทศ และศูนย์การเรียนรู้ ICT ชุมชน ของกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม 2,000 กว่าแห่งทั่วประเทศ เป็นต้น

สำหรับตัวอย่างนโยบาย “ด้านเศรษฐกิจ” ที่ผ่านมา เช่น

1. การบริหารจัดการน้ำทั้งระบบ อย่างบูรณาการ ทั้งน้ำท่วม – น้ำแล้ง – น้ำเสีย  พื้นที่เก็บกักน้ำ – แก้มลิง  ซึ่งยังคงต้องดำเนินการอย่างต่อเนื่องสำหรับโครงการขนาดใหญ่เพื่อจะให้เกิดการเก็บกักน้ำให้มากขึ้น มีการระบายน้ำให้รวดเร็วขึ้นในพื้นที่ตอนบนนะครับ ซึ่งมีผลกระทบมาในพื้นที่ตอนล่าง และภาคกลาง กำลังพิจารณาดำเนินการอยู่ ทั้งนี้เพื่อจะทำให้เกิดความยั่งยืนให้ได้ในอนาคตนะครับ

2. ในเรื่องของการทวงคืนผืนป่า – การฟื้นฟูป่า – การจัดหาที่ดินทำกิน – ป่าชุมชน – เกษตรแปลงใหญ่ – การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมในการปลูกพืชตามความสมัครใจ – Smart Farmer – เกษตรทฤษฎีใหม่ – เกษตรอินทรีย์ – เกษตรยั่งยืน เน้นในเรื่องของการลดการใช้ปุ๋ยเคมี ส่งเสริมการใช้ปุ๋ยอินทรีย์ ที่ไม่เป็นภัยต่อชีวิต ไม่เป็นพิษต่อสิ่งแวดล้อม เพิ่มมูลค่าของสินค้า

3. การวิจัยและพัฒนา การสร้างนวัตกรรม เช่น เมืองนวัตกรรมอาหารFood Innopolish แปรรูปผลิตภัณฑ์เกษตรกรรม ทุนวิจัยและพัฒนา ที่ตรงกับความต้องการของประเทศ เพื่อนำไปสู่สายพานการผลิต เพื่อใช้เองในประเทศ ช่วยลดการสั่งซื้อจากต่างประเทศ

4. การลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน ทั้งด้านการคมนาคม (บก – น้ำ – อากาศ) และด้าน ICT (โทรศัพท์ และอินเทอร์เน็ต) เราต้องดำเนินการให้ทั่วถึง ทุกพื้นที่ ให้ได้อย่างรวดเร็ว


5. บริษัท ประชารัฐ รู้รักสามัคคี (ประเทศไทย) จำกัด วิสาหกิจเพื่อสังคมสหกรณ์การเกษตร  ตลาดชุมชน การยกระดับ OTOP, SMEs, Start-up สู่ตลาดโลก และตลาดออนไลน์ เป็นต้น  ซึ่งได้รับความร่วมมือจากบริษัทเอกชนหลายบริษัทเป็นอย่างดี ขอขอบคุณมา ณ โอกาสนี้ด้วยอีกครั้ง

6. เขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษ  ระเบียงพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (EEC) มีการกำหนด 10 กลุ่มอุตสาหกรรมเป้าหมาย ตามนโยบาย “ไทยแลนด์ 4.0” เป็นต้น จะเป็นการสร้างห่วงโซ่ใหม่  เพื่อเพิ่มรายได้ให้กับประเทศ เพื่อจะมีงบประมาณดูแลประชาชน มีการพัฒนาประเทศอย่างพอเพียงในอนาคต

7. การจดสิทธิบัตร การขึ้นบัญชีนวัตกรรม เป็นต้น

ทั้งนี้ ผลจากการบริหารราชการแผ่นดิน ห้วง 2 ปี ที่ผ่านมา ภายใต้ “ศาสตร์พระราชา” แม้ว่าสถานการณ์ล่าสุดเศรษฐกิจไทยจะยังไม่เติบโตเด่นชัด เนื่องจากปัจจัยภายนอกประเทศ จากเศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัว และการปรับตัวเชิงโครงสร้างภายในประเทศที่ต้องใช้เวลา แต่ก็เริ่มมีสัญญาณทางเศรษฐกิจที่ “ดีขึ้น” ในหลายภาคส่วน อาทิเช่น

1. ภาคการเกษตรผลผลิต และราคาสินค้าเกษตร ดีขึ้นกว่าปีก่อนในบางชนิด โดยดัชนีผลผลิตสินค้าเกษตรเดือนกันยายน 2559 ขยายตัวโดยรวมร้อยละ 4.0 จากเดือนเดียวกันปีที่แล้ว หลังจากติดลบมาหลายเดือน เนื่องจากผลผลิตมันสำปะหลังและข้าวโพดที่มีการเก็บเกี่ยวได้เพิ่มขึ้น สำหรับด้านราคาดัชนีราคาสินค้าเกษตรโดยรวม เดือนกันยายน 2559 ขยายตัวถึงร้อยละ 8.0 เมื่อเทียบกับเดือนเดียวกันปีที่แล้ว 

2. ภาคอุตสาหกรรม ดัชนีผลผลิตภาคอุตสาหกรรมเดือนสิงหาคม 2559 ในภาพรวมขยายตัวร้อยละ 3.1 เมื่อเทียบกับเดือนเดียวกันปีที่แล้ว จากการผลิตเครื่องใช้ไฟฟ้าและสินค้าอุตสาหกรรมอาหารที่ขยายตัวดีขึ้น

3. การค้าระหว่างประเทศ ภาพรวมมูลค่าส่งออกสินค้าเดือนกันยายน 2559 ขยายตัวกว่าร้อยละ 3.4  ซึ่งเป็นการขยายตัวต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 2  และการส่งออกไปยังตลาดสำคัญของไทย โดยเฉพาะสหภาพยุโรป จีน สหรัฐฯ และญี่ปุ่น ยังคงมีการขยายตัวได้ดี

4. ภาคการท่องเที่ยว นักท่องเที่ยวเดือนสิงหาคม 2559 มีจำนวนกว่า 2.87 ล้านคน  ขยายตัวกว่าร้อยละ 11 เมื่อเทียบกับเดือนเดียวกันปีที่แล้ว ซึ่งเป็นนักท่องเที่ยวจากเอเชียมากที่สุด เช่น จีน มาเลเซีย ญี่ปุ่น และลาว เป็นต้น 

สำหรับภาครัฐ ในห้วงที่ผ่านมา รัฐบาลได้เร่งเบิกจ่ายงบประมาณ เพื่อให้มีเม็ดเงินกระจายลงสู่เศรษฐกิจอย่างทั่วถึง ซึ่งการเบิกจ่ายงบประมาณภาครัฐ ทั้งปีงบประมาณ 2559 (ต.ค. 58 - ก.ย. 59) เบิกจ่ายได้ สูงกว่าปีงบประมาณก่อนหน้าร้อยละ 7.9 แบ่งเป็นรายจ่ายประจำเบิกจ่ายได้สูงขึ้นร้อยละ 5.1 ส่วนรายจ่ายลงทุนเบิกจ่ายได้สูงขึ้นร้อยละ 34.4 สำหรับหนี้สาธารณะยังคงอยู่ในระดับไม่สูง คือร้อยละ 42.6 ของ GDP (ณ สิ้นเดือนสิงหาคม 2559) ต่ำกว่าร้อยละ 60 ของ GDP ซึ่งเป็นกรอบของความยั่งยืนทางการคลังของประเทศ 

นอกจากนี้ ผลจากการที่รัฐบาลให้ความสำคัญกับการอำนวยความสะดวกให้ภาคธุรกิจในการประกอบกิจการ เพื่อสร้างความเข้มแข็งให้กับเศรษฐกิจของประเทศ ล่าสุด ธนาคารโลกได้จัดอันดับความยากง่ายในการประกอบธุรกิจ ปี 2017 ให้ประเทศไทยอยู่ในลำดับที่ 46 จาก 190 ประเทศทั่วโลก หรือ “ดีขึ้น” จากปีที่แล้ว 3 อันดับ เนื่องจากเห็นว่ารัฐบาลมีการปรับปรุงขั้นตอน กระบวนการ สำหรับการเริ่มธุรกิจในประเทศให้สะดวกและทันสมัยมากยิ่งขึ้น อาทิเช่น ระบบชำระเงิน, การเข้าถึงสินเชื่อ และการแก้ไขปัญหาล้มละลาย เป็นต้น

ทั้งนี้ แนวโน้มเศรษฐกิจในระยะกลางและระยะยาว ได้รับรายงานจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง อาทิเช่น สภาพัฒน์ฯ, ธนาคารแห่งประเทศไทย และกระทรวงการคลัง ได้คาดการณ์ว่าเศรษฐกิจไทยปีนี้ (2559) และปีหน้า (2560) จะเติบโตใกล้เคียงกันที่ประมาณร้อยละ 3 ซึ่งหากไม่มีการเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้าง หรือปฏิรูปเศรษฐกิจไทยใดๆ เลย ก็คาดได้ว่าเศรษฐกิจไทยอีก 5 ปี 10 ปี ก็จะเติบโตได้ในระดับน้อยๆ เช่นที่ผ่านมาเพราะเศรษฐกิจโลก (เศรษฐกิจภายนอก) มีความผันผวน และยังไม่มีแนวโน้มจะกลับมาแข็งแกร่งเช่นเดิม

ดังนั้น รัฐบาลนี้ จึงได้พยายามมาโดยตลอดที่จะทำให้เกิดการเติบโตทางเศรษฐกิจอย่างยั่งยืน ที่ไม่ใช่การเติบโต แต่เพียงตัวเลข GDP แต่เป็นการเติบโต ที่กระจายสู่ทุกภาคส่วน ทุกภูมิภาคของประเทศ ไม่ให้กระจุกตัวเฉพาะในพื้นที่ใดพื้นที่หนึ่งหรือภาคใดภาคหนึ่งหรือกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง เราจำเป็นต้องรักษาเสถียรภาพของรัฐบาล ทั้งด้านการเมือง ความมั่นคง ให้เป็นปกติให้ได้ อย่างเช่นในปัจจุบัน

สำหรับงานต่างๆ ที่ได้เริ่มต้นไว้แล้ว รวมถึงที่กำลังจะเกิดขึ้นในด้านเศรษฐกิจ อาทิเช่น การพัฒนาเศรษฐกิจสู่ยุคไทยแลนด์ 4.0  การพัฒนาเขตเศรษฐกิจพิเศษ  การพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจตะวันออก (EEC) การปรับโครงสร้างการผลิตภาคเกษตรอย่างครบวงจร ทั้งการพัฒนาเกษตรแปลงใหญ่ การพัฒนาแหล่งน้ำ–ปรับปรุงดิน–การพัฒนาพันธุ์พืชและสัตว์ และการต่อยอดนวัตกรรมเพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มให้แก่สินค้า ทั้งสินค้าเกษตร และสินค้าอุตสาหกรรม  การพัฒนาแหล่งท่องเที่ยวให้มีคุณภาพดีขึ้นเพื่อดึงดูดนักท่องเที่ยว และทำรายได้ให้แก่ประเทศได้มากขึ้น การพัฒนาแรงงานและการศึกษา ให้ตอบโจทย์ความต้องการของภาคเอกชนและเพื่อการพัฒนาประเทศในอนาคต เป็นต้น

แผนงานทั้งหมดที่กล่าวมานั้น รัฐบาลได้น้อมนำพระราชดำรัสขององค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว  ที่ให้ “ประชาชนเป็นศูนย์กลาง” ของการพัฒนา มาเป็นแนวทางในการดำเนินงาน เพื่อไม่ให้เกิดความขัดแย้งในพื้นที่ ประชาชนมีส่วนร่วม และได้ประโยชน์จากการพัฒนาอย่างแท้จริง ให้มีความ อยู่ดี กินดี

นอกจากนั้นรัฐบาล มีโครงการให้เอกชนร่วมลงทุน (PPP) ในหลายโครงการก่อสร้าง โครงสร้างพื้นฐานของประเทศ เพื่อลดภาระงบประมาณ เพราะเราต้องก่อสร้าง ต้องมีการลงทุนเพื่ออนาคต เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ ดึงดูดการลงทุน ซึ่งก็จะเป็นการส่งเสริมและอำนวยความสะดวก รวมทั้งลดต้นทุนการผลิต ให้ทั้งภาคเอกชนและภาคประชาชน

แต่เรามีรายได้ไม่พอกับการลงทุนใหญ่มากนัก เก็บภาษียังไม่เต็มเม็ดเต็มหน่วย เราจึงต้องมีการกู้เงินบางส่วน มีการร่วมทุนกับเอกชนบางส่วน ซึ่งจำนวน “หนี้สาธารณะ” ในวันนี้ ล้วนเป็นหนี้ที่ก่อให้เกิดรายได้ เพื่อสร้างความเข้มแข็งในอนาคตให้กับประเทศ และเราก็สามารถควบคุมได้ให้อยู่ในระดับต่ำกว่าร้อยละ 60 ของ GDP

หากอนาคตข้างหน้า เศรษฐกิจเราดีขึ้น และมีการจัดระบบการเก็บภาษีได้อย่างมีประสิทธิภาพ รัฐบาลก็จะมีรายได้มากขึ้น ลงทุนได้มากขึ้น ไม่จำเป็นต้องกู้ยืมเงินจำนวนมากๆ อีก ประชาชนก็มีโอกาสได้รับสวัสดิการที่ดีขึ้น คุณภาพชีวิตของประชาชน “ทุกกลุ่ม” ก็ได้รับการดูแลอย่างเหมาะสม โดยเฉพาะด้านการศึกษา การสาธารณสุข ค่าใช้จ่ายที่รัฐบาลจะสามารถดูแลได้จะ “เพิ่มขึ้น” มากขึ้น มากกว่าในปัจจุบัน ตลอดจน รายได้ของประชาชน โดยเฉพาะกลุ่มผู้ใช้แรงงาน ผมเห็นใจทุกท่านนะครับ จากใจจริงของรัฐบาลและของผมเอง

ทั้งนี้ หากคนไทยทุกคน ร่วมมือร่วมใจกัน ไม่ขัดแย้ง เห็นแก่ประโยชน์ส่วนตน ก็เชื่อได้ว่าเศรษฐกิจไทยในวันข้างหน้า จะมีการเจริญเติบโตอย่างมั่นคง มั่งคั่ง และยั่งยืน ทั้งด้านเศรษฐกิจ การเงิน และการคลัง อย่างแน่นอน

สำหรับการเชื่อมโยง “ศาสตร์พระราชา” ในเรื่องหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง (SEP) กับเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (SDGs) นั้น ถือว่ารัฐบาล ประสบความสำเร็จ ในการสร้างความตระหนักและการยอมรับในเวทีระหว่างประเทศ ทั้งในการประชุม G77, G20 และ ACD โดยนานาประเทศ ต่างเห็นพ้องกันว่า หลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง ถือเป็นแนวทางหนึ่ง ที่สนับสนุนการบรรลุเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน ยกตัวอย่างเช่น 

1. ศูนย์สาธิตสหกรณ์โครงการหุบกะพง เพื่อแก้ปัญหาการขาดน้ำกินและน้ำใช้, การขาดที่ดินทำกิน ซึ่งมีการส่งเสริมการใช้เทคโนโลยีอย่างง่าย เพื่อขจัดความจน สามารถใช้ชีวิตอย่างพอเพียง ก่อให้เกิดเป็นชุมชนที่เข้มแข็ง บรรลุเป้าหมายที่ 1 ของ SDG “การยุติความยากจน ทุกรูปแบบ ในทุกพื้นที่”

2. ธนาคารอาหารเป็นกิจกรรมจากกองทุนอาหารกลางวันแบบยั่งยืน  ให้เด็กนักเรียนทุกคนนำไปลงทุน เพื่อประกอบอาชีพทำการเกษตรและปศุสัตว์ขนาดเล็ก โดยโรงเรียนจะรับซื้อผลผลิต กลับมาเป็นอาหารกลางวันของนักเรียน รายได้ของนักเรียน สามารถเกื้อกูลฐานะทางครอบครัว และใช้ในการศึกษาเพิ่มเติม นับว่าเป็นการเรียนรู้ ในการประกอบอาชีพ อย่างครบวงจร ภายใต้หลักการ “เกษตรทฤษฎีใหม่” บรรลุเป้าหมายที่ 2 ของ SDG ในเรื่องของ “การยุติความหิวโหย มีความมั่นคงทางอาหาร การยกระดับโภชนาการ และส่งเสริมการเกษตรที่ยั่งยืน”

3. โรงเรียนพระดาบส จัดให้มีการสอนวิชาชีพ หลักสูตร 1 ปี  มุ่งให้สามารถนำไปประกอบอาชีพได้จริง เสริมด้วยทักษะชีวิต ให้สามารถดำรงตน ได้อย่างเหมาะสม บนพื้นฐานแห่งความรู้ มีวินัย ขยันหมั่นเพียร มีความรับผิดชอบ เป็นต้น บรรลุเป้าหมายที่ 4 ของ SDG “การให้การศึกษา ที่มีคุณภาพ อย่างครอบคลุมและเท่าเทียม และโอกาสการเรียนรู้ตลอดชีวิต”

4. กังหันชัยพัฒนา เป็นการเพิ่มปริมาณออกซิเจนในน้ำ ลดกลิ่น น้ำไม่เน่าเสีย เป็นที่อยู่อาศัยของสัตว์น้ำได้  บรรลุเป้าหมายที่ 6 ของ SDG คือ “การจัดให้มีน้ำที่ถูกสุขลักษณะ และมีการบริหารจัดการน้ำที่ยั่งยืน”

5. บริษัท ประชารัฐ รักสามัคคี จำกัด ดำเนินการตามรูปแบบ “วิสาหกิจเพื่อสังคม” บนกลไก “ประชารัฐ” ที่ไม่มุ่งเน้นผลกำไรจากการประกอบการ แต่ได้รับปันผล ในรูปแบบการพัฒนาชุมชนที่ตนอาศัยอยู่ บรรลุเป้าหมายที่ 10 ของ SDG คือการ “ลดความไม่เสมอภาค ภายในและระหว่างประเทศ”

ทั้งนี้เป็นแต่เพียงตัวอย่างเท่านั้นนะครับ ผมเห็นว่า “หลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง” มีความเป็นสากลในตัวเอง เปรียบเสมือนวัคซีนที่ช่วยสร้างภูมิคุ้มกันจาก “โรค” ที่เกิดจากความประมาท ความไม่แน่นอน และความเสื่อมโทรม อันสืบเนื่องจากผลกระทบทางลบด้านเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม ซึ่งประเทศไทยยินดีเป็นอย่างยิ่งที่จะสามารถแบ่งปันตัวอย่างการนำหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงไปประยุกต์ใช้ในการบรรลุเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน ไม่ใช่ของใครหรือประเทศใดประเทศหนึ่ง แต่ทุกประเทศต้องร่วมมือกัน โดยไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง

สุดท้ายนี้ สำหรับกรณีราคาข้าวตกต่ำในพื้นที่ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง “ข้าวหอมมะลิ” ที่มีข่าว ราคาต่ำมาก ในภาคอีสาน ในปัจจุบัน และอาจจะมีในพื้นที่อื่นๆ ทั้งนี้เป็นผลจากการรับซื้อของโรงสี หรือพ่อค้าคนกลาง อาจเป็นเพราะ ข้าวมีความชื้นสูง เป็นผลกระทบจากน้ำท่วม  ราคาข้าวในตลาดโลก การลดราคาแข่งขันกัน ของประเทศผู้ผลิตข้าว  รัฐบาลไม่นิ่งนอนใจในเรื่องนี้ กำลังกำหนดมาตรการเร่งด่วน เพื่อช่วยเหลือเกษตรกร – ชาวนา ให้บรรเทาความเดือดร้อน ให้ได้โดยเร็วที่สุด

คาดว่าไม่เกินสัปดาห์หน้า จะเร่งให้มีการประชุม ให้ได้ข้อยุติโดยเร็ว เพื่อนำเสนอ ครม. รับทราบ  แล้วนำไปสู่การปฏิบัติได้ในทันที ขอบคุณพี่น้องเกษตรกร – ชาวนา ที่ได้ต่อสู้ชีวิต ด้วยความอดทน เสียสละ ทั้งนี้ รัฐบาล และประชาชนรับรู้ ความทุกข์ของท่านเสมอ เราจะร่วมทุกข์ไปกับท่าน รวมทั้งราคาลองกองที่ตกต่ำ รัฐบาล โดยกระทรวงมหาดไทย ได้ร่วมกับบริษัท ประชารัฐ รักสามัคคี ประเทศไทย จำกัด ได้ใช้พื้นที่ “ตลาดคลองผดุงฯ” ข้างทำเนียบรัฐบาล นำผลิตผลชาวสวนลองกอง จาก 3 จังหวัดชายแดนภายใต้ (ยะลา – ปัตตานี – นราธิวาส) มาจำหน่าย ช่วงวันที่ 26 ต.ค. – 2 พ.ย. นี้ รวมทั้ง การแปรรูปลองกอง เป็นน้ำลองกอง ไอศกรีมลองกอง เพื่อเพิ่มมูลค่า,  อาหารพื้นเมืองปักษ์ใต้ และสินค้า OTOP อีกด้วย ขอเชิญชวนพี่น้องประชาชนที่สนใจทุกคนได้มาช่วยกันอุดหนุนด้วยนะครับ


ขอบคุณครับ สวัสดีครับ


p.p1 {margin: 0.0px 0.0px 0.0px 0.0px; font: 11.0px Helvetica; -webkit-text-stroke: #000000} p.p2 {margin: 0.0px 0.0px 0.0px 0.0px; font: 11.0px Helvetica; -webkit-text-stroke: #000000; min-height: 13.0px} span.s1 {font-kerning: none}