นายกฯ“ลุงตู่”ยกครูสร้างคนพัฒนาชาติ

by ThaiQuote, 13 มกราคม 2560

p.p1 {margin: 0.0px 0.0px 12.0px 0.0px; text-align: justify; text-indent: 56.7px; font: 20.0px 'Angsana New'; -webkit-text-stroke: #000000} p.p2 {margin: 0.0px 0.0px 10.0px 0.0px; text-align: justify; text-indent: 56.7px; font: 20.0px 'Angsana New'; -webkit-text-stroke: #000000} p.p3 {margin: 0.0px 0.0px 0.0px 0.0px; text-align: justify; text-indent: 56.7px; font: 20.0px 'Angsana New'; -webkit-text-stroke: #000000} p.p4 {margin: 0.0px 0.0px 12.0px 0.0px; text-align: justify; font: 20.0px 'Angsana New'; -webkit-text-stroke: #000000} p.p5 {margin: 0.0px 0.0px 12.0px 0.0px; text-align: justify; font: 20.0px 'Angsana New'; color: #ff2500; -webkit-text-stroke: #ff2500} span.s1 {font-kerning: none} span.s2 {font-kerning: none; background-color: #fffb01}

ทั้งนี้ตามที่คณะองคมนตรีได้อัญเชิญพระกระแสรับสั่งฯในเรื่องอุทกภัยภาคใต้ เดินทางเข้าหารือกับนายกรัฐมนตรีที่ทำเนียบรัฐบาล ซึ่งรัฐบาลก็รับแนวทางพระราชทานดังกล่าวนั้นใส่เกล้าใส่กระหม่อม เพื่อนำไปดำเนินการต่อไป

ปัจจุบันรัฐบาลยังคงเฝ้าติดตามสถานการณ์ และแก้ปัญหาเพื่อลดระดับความรุนแรงมาอย่างต่อเนื่อง ช่วยให้สถานการณ์พื้นที่ประสบอุทกภัยทั้ง 12 จังหวัดภาคใต้ “ดีขึ้น” โดยลำดับในห้วงเดือนธันวาคมที่ผ่านมา อย่างไรก็ตามจากการพยากรณ์ของกรมอุตุนิยมวิทยา ยังคงต้องเฝ้าระวัง และเตรียมการป้องกันแก้ไขต่อไปด้วยนะครับ อย่าประมาทจากต้นเดือนมกราคมเป็นต้นมา มีฝนตกหนักต่อเนื่อง ซ้ำเติมสถานการณ์อุทกภัยที่มีระดับความรุนแรง “เพิ่มขึ้น” รัฐบาลจึงได้ประกาศยกระดับการจัดการสาธารณภัยจาก “ระดับ 2 ขนาดกลาง” เป็น “ระดับ 3 ขนาดใหญ่” โดยได้มีคำสั่งตั้งกลไกการทำงาน “ระดับชาติ” และ “ระดับพื้นที่” สำหรับบูรณาการทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้สามารถทำงานร่วมกันอย่างประสานสอดคล้อง ไม่ซ้ำซ้อน ที่สำคัญคือสามารถตอบสนอง “ทุกสถานการณ์ฉุกเฉิน” ได้อย่างทันท่วงที อาทิเช่น

1. กองบัญชาการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยแห่งชาติส่วนกลาง ณ กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย กระทรวงมหาดไทย เพื่อทำหน้าที่ควบคุมบัญชาการสถานการณ์ และระดมสรรพกำลังจากทุกกระทรวงทุกภาคส่วนจากทั่วประเทศ เข้าไปเสริมกำลังช่วยเหลือในการแก้ไขปัญหาและบรรเทาความเดือดร้อนของพี่น้องผู้ประสบภัยกว่า 1 ล้านคน ราว 3 แสน 7 หมื่นครัวเรือน ใน 12 จังหวัด ปัจจุบันมีกำลังพลจากทุกหน่วยกว่า 4,000 นาย เรือไฟเบอร์และเรือท้องแบน 671 ลำ, รถยนต์บรรทุก 142 คัน, เครื่องผลักดันน้ำ 107 เครื่อง, เครื่องสูบน้ำ 200 เครื่อง, เครื่องกำเนิดไฟฟ้า 16 เครื่อง, รถสูบส่งน้ำระยะไกลแรงดันสูง 18 คัน, รถผลิตน้ำดื่ม 12 คัน, รถไฟส่องสว่าง 11 คัน, สะพานแบลีย์ 3 สะพาน, เฮลิคอปเตอร์ 5 ลำ เหล่านี้เป็นต้น

2. กองบัญชาการป้องกันและบรรเทาสาธารภัยส่วนหน้า ณ ศูนย์ป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยเขต 11 สุราษฎร์ธานี เพื่อดูแลพื้นที่ภาคใต้ “ตอนบน” และเขต 12 สงขลา เพื่อดูแลพื้นที่ภาคใต้ “ตอนล่าง” ทำหน้าที่เป็นศูนย์กลางในการเชื่อมโยงการปฏิบัติ จากส่วนกลางกับหน่วยปฏิบัติในพื้นที่ซึ่งได้มีการจัดตั้ง “ศูนย์ย่อย” ในแต่ละจังหวัดเพื่อเกาะติดสถานการณ์อุทกภัยในพื้นที่ของตน โดยได้แบ่งพื้นที่การปฏิบัติตามลักษณะ และระดับความรุนแรงของปัญหา เป็น 3 ลักษณะ คือ

(1) พื้นที่วิกฤติ 

(2) พื้นที่เฝ้าระวังพิเศษและ 

(3) พื้นที่คลี่คลาย

เพื่อให้สอดคล้องกับการจัดสรรทรัพยากรเข้าไปดำเนินงานของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในแต่ละพื้นที่ ซึ่งดูแลแก้ไขและจัดการกับปัญหาความเสียหายใน “ทุกมิติ” นอกเหนือจากตัวผู้ประสบภัยที่มีความต้องการน้ำ อาหาร เครื่องนุ่งห่ม เครื่องนอน การรักษา พยาบาล และการซ่อมแซมที่อยู่อาศัยแล้ว ยังคงต้องดูแลในเรื่องพื้นที่เกษตรกรรม, โครงสร้างพื้นฐาน “ทุกระบบ” รวมทั้งโทรคมนาคม, สถานประกอบการ, หน่วยงานราชการ, โบราณสถาน และสถานที่ท่องเที่ยว เหล่านี้เป็นต้น

สำหรับหลักเกณฑ์ในการช่วยเหลือประชาชนที่เดือดร้อนนั้น ได้มีมติเห็นชอบตามหลักเกณฑ์ที่เคยปฏิบัติเมื่อคราวน้ำท่วมใหญ่ กรุงเทพมหานครและบางจังหวัดในภาคกลางในปี 2554 เช่น การช่วยเหลือผู้เสียชีวิตรายละ 50,000 บาท บ้านเสียหายทั้งหลังจะสร้างบ้านหลังใหม่ทดแทน ส่วนบ้านที่เสียหายบางส่วนจะมีการซ่อมแซมให้เสร็จสมบูรณ์ ทั้งนี้เพื่อให้พี่น้องประชาชนในพื้นที่กลับสู่วิถีชีวิตปกติในเร็ววัน ภายหลังจากสถานการณ์น้ำท่วมคลี่คลายลง รวมทั้งการเยียวยาความเสียหาย พืชผลทางการเกษตร และการซ่อมแซม บูรณะ สถานที่ต่างๆ ด้วยนะครับ

3. ศูนย์ช่วยเหลือประชาชนประสบภัยน้ำท่วมภาคใต้ ณ สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี ทำเนียบรัฐบาล เพื่อเป็น “ศูนย์กลาง”ในการรวบรวมเงินบริจาคของพี่น้องประชาชนทั่วประเทศ สำหรับจัดส่งให้จังหวัดหรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการใช้จ่ายเพื่อบรรเทาความเดือดร้อนให้กับประชาชนผู้ประสบอุทกภัยในพื้นที่จังหวัดภาคใต้ โดยประชาชนในทุกภาคส่วนหากประสงค์จะช่วยเหลือประชาชนที่เดือดร้อนในครั้งนี้สามารถบริจาคเงินเข้า “กองทุนช่วยเหลือผู้ประสบสาธารณภัย” สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี หรือภาคีเครือข่ายอีก 3 แห่ง ได้แก่ กองทัพเรือ, การยางแห่งประเทศไทย และองค์การสื่อสารมวลชนแห่งประเทศไทย รายละเอียดตามหน้าจอนะครับ 

(บัญชีธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) สาขาทำเนียบรัฐบาล เลขที่บัญชี 067-0-06895-0)

ทั้งนี้ผู้ที่ร่วมบริจาคเงินช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัยดังกล่าว สามารถนำใบเสร็จรับเงินการบริจาคฯ ณ ศูนย์แห่งนี้ของรัฐบาล และช่องทางอื่น ๆเป็นเอกสารสำหรับการขอลดหย่อนภาษีได้นะครับ 1.5 เท่าของยอดเงินบริจาคอีกด้วย กรณีที่มีข้อสงสัย สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ตลอดเวลา “24 ชั่วโมง” ที่โทรสายด่วน 1111 ได้ นะครับ

นอกจากนี้ เพื่อให้การดูแลทุกข์สุขพี่น้องผู้ประสบภัยในครั้งนี้ มีความคล่องตัวยิ่งขึ้น รัฐบาลโดยกระทรวงการคลังได้ขยายวงเงินทดรองราชการในอำนาจอธิบดีกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย “เพิ่มอีก” 50 ล้านบาท รวมเป็นวงเงิน 150 ล้านบาท และในอำนาจผู้ว่าราชการจังหวัด พื้นที่ภาคใต้ที่ประสบอุทกภัยอีก 50 ล้านบาท รวมเป็นวงเงิน 100 ล้านบาทต่อจังหวัด เนื่องจากยังคงได้รับผลกระทบอย่างต่อเนื่อง และขยายวงกว้าง สำหรับใช้จ่ายซื้อวัสดุ อุปกรณ์หรือยานพาหนะพิเศษ ซึ่งมีความจำเป็นต่อการช่วยเหลือด้านต่างๆ รวมถึงความจำเป็นในการจัดส่งเครื่องอุปโภคบริโภคให้กับประชาชนในพื้นที่ที่น้ำท่วมสูงอย่างรุนแรง มีน้ำป่าไหลเชี่ยวกราก ดินโคลนถล่ม เป็นต้น

ผมขอขอบคุณคนไทย “ทุกคน” รวมทั้งเอกชนทุกภาคส่วน ที่ได้ร่วมกันแสดงน้ำใจ เห็นอกเห็นใจพี่น้องชาวใต้ อีกทั้งร่วมกันบริจาคสิ่งของ เครื่องใช้ที่จำเป็น และปัจจัยในการดำรงชีวิตต่าง ๆสำหรับผู้ประสบภัยอยู่ในอยู่ขณะนี้  และผมขอเป็นกำลังใจให้กับเจ้าหน้าที่พลเรือน ตำรวจ ทหาร ป้องกันภัยและผู้อาสาสมัคร “ทุกคน” ที่ทุ่มเท เสียสละ ในการทำงาน ด้วยความสำนึกที่ว่า “ประชาชนรอการช่วยเหลืออยู่ข้างหน้า แม้นาทีเดียวก็ไม่อาจรอได้” ผมก็ขอให้ใช้ความระมัดระวัง และความไม่ประมาทในระหว่างการปฏิบัติหน้าที่ และขอให้ทุกคนปลอดภัย มีสวัสดิภาพ สำหรับพี่น้องประชาชนในพื้นที่ประสบภัยเองก็ขอให้ติดตามข้อมูลข่าวสาร การแจ้งเตือนจากทางราชการอย่างใกล้ชิด และขอให้ปฏิบัติตามคำแนะนำและให้ความช่วยเหลือกับเจ้าหน้าที่ด้วย ทั้งนี้เพื่อให้เกิดความปลอดภัยในชีวิต และทรัพย์สินของทุกๆ คน ซึ่งจะช่วยให้ทางราชการสามารถปฏิบัติได้อย่างมีประสิทธิภาพ  รวมทั้งการดูแลคนใกล้ชิด สมาชิกในครอบครัว โดยเฉพาะเด็ก เยาวชน ผู้สูงอายุ คนพิการ ให้อยู่ในสายตาตลอดเวลานะครับ รัฐบาลเองก็จะเฝ้าติดตามสถานการณ์และทำหน้าที่ของรัฐบาลให้ดีที่สุดนะครับ

ส่วนการแก้ปัญหา “น้ำท่วม” อย่างยั่งยืนนั้น ผมได้มอบหมายให้กระทรวงคมนาคมได้เก็บข้อมูลเพื่อเป็นแผนบทเรียนกรณีศึกษาในแต่ละพื้นที่ โดยเฉพาะการบริหารจัดการเกี่ยวกับการก่อสร้างถนนใหม่ การซ่อมถนนเดิม ทั้งนี้เพื่อไม่ให้เกิดการกีดขวางทางน้ำมีร่องระบายน้ำ มีสะพานต่าง ๆที่สามารถทำให้น้ำไหลลงจากภูเขาสู่ทะเลได้รวดเร็วยิ่งขึ้น สำหรับถนนใหม่นั้นอาจจะต้องมีการสร้างถนนที่อยู่ด้านบน มีสะพาน หรือช่องทางน้ำไหล หรือมีการสร้างอุโมงค์ทางลอดน้ำอยู่ด้านล่าง ทั้งนี้เพื่อให้น้ำระบายผ่านลงสู่ทะเลสะดวกรวดเร็วยิ่งขึ้นกว่าเดิมในปัจจุบันนะครับ เราจึงจะแก้ปัญหาน้ำท่วมภาคใต้ได้อย่างยั่งยืน   

ปัจจุบันนี้สภาพจังหวัดต่างๆอาจจะทุกจังหวัด ได้มีการขยายตัวเมืองมากขึ้น ประชาชนมากขึ้น ส่งผลให้มีการก่อสร้าง ซึ่งอาจจะไม่เป็นไปตามผังเมือง หรือตามกฎหมายควบคุมอาคารที่มีอยู่ หรือไปสร้างในพื้นที่ที่ไม่เหมาะสม ไปขวางทางน้ำไหลลงสู่ทะเล สู่ร่องหรือทางระบายน้ำตามธรรมชาติ จึงมีความยากลำบาก ที่ทำให้เกิดสถานการณ์น้ำเอ่อล้น ดังเช่นที่เป็นอยู่ในขณะนี้นะครับ กรุงเทพก็เช่นเดียวกัน

พี่น้องประชาชน ครับ 

ไม่ว่าเราจะประสบปัญหาอย่างไร แต่ประเทศชาติก็คงต้องเดินหน้าต่อไปให้ได้ และเราก็ต้องเป็นกำลังใจให้กันและกัน ต่างคนต่างก็ต้องทำหน้าที่ของตนเองให้ดีที่สุดนะครับ ไม่สร้างภาระซึ่งกันและกัน สำหรับการแก้ไขรัฐธรรมนูญฉบับชั่วคราว ตามมติที่ประชุมร่วมของคณะรัฐมนตรีและ คสช.นั้น ทางรัฐบาลได้หารือกับสนช. แล้ว สามารถดำเนินการได้ โดยไม่กระทบต่อกระบวนการตาม Road map จึงขอให้พี่น้องประชาชนได้เชื่อมั่นและไว้ใจ ว่าเรากำลังเดินหน้าไปสู่ประชาธิปไตยที่สมบูรณ์อย่างแน่นอนนะครับ

สำหรับวันพรุ่งนี้ เป็นวันเสาร์ที่สองของเดือนมกราคม ซึ่งเป็น “วันเด็กแห่งชาติ”  และวันจันทร์ที่ 16 มกราคม ของทุกปี เป็น “วันครู” ซึ่งล้วนแต่มีความสำคัญสำหรับอนาคตของประเทศชาติทั้งสิ้น ในโอกาสอันดีทั้ง 2 ประการนี้ ผมขอมอบคำขวัญวันครู ว่า “ชาติพัฒนาด้วยครูดี มีคุณภาพ ศิษย์ซาบซึ้งในพระคุณครู” เพื่อให้ผู้ที่เป็นครูโดยอาชีพ และเป็นครูโดยจิตวิญญาณ ได้ระลึกอยู่เสมอว่า ท่านมีความสำคัญอย่างยิ่งในการที่จะสร้างคน สร้างชาติ สร้างอนาคตให้กับประเทศชาติ ดังนั้นภาระอันยิ่งใหญ่นี้ ไม่เพียงแต่ท่านจะต้องเป็นแบบอย่างที่ดี ด้วยคำสั่งสอนด้วยการประพฤติตนแล้ว ท่านต้องพัฒนาตนเองอยู่เสมอ ก้าวให้ทันวิทยาการสมัยใหม่ ซึ่งเป็นพลวัต เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว เนื่องจากในฐานะที่ท่านเป็น “แม่พิมพ์” ของชาติ จึงเป็นความคาดหวังของทุกๆคน ทั้งผู้ปกครอง และลูกศิษย์ ที่จะได้ซาบซึ้งในพระคุณ ที่ประสิทธิ์ประศาสน์วิชาความรู้ สอนคนให้เป็น “พลเมืองดี” ของชาติต่อไป แล้วความเป็นครู ซึ่งก็จะไม่เคยจางหาย เพราะความเป็นครู ไม่ใช่เพียงแต่ในวันที่ท่านสอนหนังสือ ผมเห็นว่าครูในวันนี้ ไม่ใช่ “เรือจ้าง” ที่ส่งลูกศิษย์ถึงฝั่งแล้วก็หมดสิ้นภาระ จากรุ่นสู่รุ่น แต่ครูในวันนี้ จะต้องขยายบทบาทของตนเอง เปรียบเหมือน “สะพาน” เช่นเดียวกับรัฐบาลและ คสช. ที่ทำหน้าที่เชื่อมโยงวิชาการมาสู่ชุมชน ในการสร้างความเข้มแข็งด้วย “ปัญญา” ด้วย “ศาสตร์พระราชา” และด้วยหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง อีกทั้งเชื่อมโยงสหวิชาชีพ และหน่วยงานราชการต่างๆ ในแต่ละท้องถิ่น หลอมรวมกับผู้นำชุมชน ผู้ปกครอง ลูกศิษย์ ซึ่งต่างล้วนก็เป็น “สมาชิก” ในแต่ละชุมชนของตน ได้ร่วมกันสร้างพัฒนาชุมชนบนกลไก “ประชารัฐ” เพื่อจะสร้างความเจริญก้าวหน้ายกระดับคุณภาพชีวิต และยกระดับคนในสังคมของตน เป็น “คนไทย 4.0” เป็นคนไทยที่อยู่ในสังคมการเรียนรู้ ที่รู้จักการใช้วิชาการ องค์ความรู้ เทคโนโลยี และนวัตกรรม ในชีวิตประจำวัน และการประกอบสัมมาอาชีพด้วยนะครับ

สำหรับคำขวัญวันเด็กปีนี้ก็คือ “เด็กไทย ใส่ใจศึกษา พาชาติมั่นคง” เพราะผมอยากเห็นเด็กไทยของเราเห็นความสำคัญของการศึกษา ดูตัวอย่างจากผู้ที่ประสบความสำเร็จหลายท่านล้วนเป็นผลจากการศึกษาไม่ว่าจะมีที่มา หรือกำเนิดในครอบครัวที่มีฐานะทางสังคม หรือทางเศรษฐกิจในระดับใดก็ตาม การศึกษาจะนำพาไปสู่ความสำเร็จ หมายถึง การยกระดับฐานะทางสังคม และยกระดับจิตใจเมื่อคนไทยได้รับโอกาสเข้าถึงการศึกษาที่เหมาะสมทุกคน ปัญหาสังคมก็จะลดลง คนไทยก็จะไม่ใช้อารมณ์ในการตัดสินใจ เพราะการศึกษาสอนให้เราใช้หลักเหตุและผล ปัญหาเศรษฐกิจก็จะไม่มี เพราะทุกคนมีวิชาความรู้ และพึ่งตนเองได้ ปัญหาสิ่งแวดล้อมก็จะไม่เกิด เพราะทุกคนตระหนักถึงผลกระทบในระยะยาว ต่างร่วมกันอนุรักษ์และหวงแหนทรัพยากรธรรมชาติของประเทศ เหมือนดังเช่น ในหลวงรัชกาลที่ 9 สอนให้เรารู้จักการอยู่ร่วมกับธรรมชาติ ดิน ป่า น้ำ ด้วยการพึ่งพากัน ไม่ทำลายกัน และเมื่อเราไม่มีปัญหามิติต่างๆ ดังกล่าวแล้ว ประเทศชาติก็จะมี “ความมั่นคง” ต่างชาติก็มีความมั่นใจ เพราะประเทศไทยมีเสถียรภาพ การท่องเที่ยวก็จะเฟื่องฟู เพราะนักท่องเที่ยวรู้สึกปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สิน ในการเดินทางทั่วประเทศไทย การลงทุนในเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษ ทั้ง 10 เขต และระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก และใน 18 คลัสเตอร์กลุ่มจังหวัด ก็จะ “ผลิดอกออกผล” เศรษฐกิจในทุกระดับของ “ห่วงโซ่” ก็จะเจริญเติบโต แข็งแรง ไปพร้อมๆกัน มีการกระจายรายได้ กระจายความเจริญ ความรวยไม่กระจุกในเขตเมือง แต่กระจายไปสู่ท้องถิ่น คนเมืองกับคนชนบทก็ไม่มีความเหลื่อมล้ำ

ที่กล่าวมานั้น ล้วนเป็นผลสืบเนื่องกัน ของ “การศึกษา กับ ความมั่นคง” ตามคำขวัญวันเด็กในปีนี้ ถ้าเด็กไม่เข้าใจ ผู้ใหญ่ก็ต้องไม่ละความเพียรที่จะให้คำอธิบาย เพราะนี่คือ “จุดเริ่มต้น” ของวิสัยทัศน์ของเรา “มั่นคง มั่งคั่ง ยั่งยืน” สอดคล้องกับ “ศาสตร์พระราชา” ในการที่เราจะเอาชนะความจน ด้วยเริ่มจากการพัฒนาคน ด้วย “การศึกษา”

ผมมี “ศาสตร์พระราชา” อีกหนึ่งตัวอย่าง อันเป็นที่มาของหนังสือชื่อว่า “จิตตนคร นครหลวงของโลก” บทพระนิพนธ์ในสมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก ได้นิพนธ์และบรรยายในช่วงปี 2513 และเป็นการ์ตูนอนิเมชั่นชุด “เมืองนิรมิต แห่งจิตตนคร” สำหรับวันเด็กในปี 2560 นี้ 

ทั้งนี้ เกิดจากพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช เป็นผู้หนึ่งที่ทรงสนพระทัยอย่างมากในธรรมะ และหลายครั้งที่พระองค์ทรงพระราชปุจฉาวิสัชนาธรรมกับ สมเด็จพระสังฆราช ด้วยมีพระราชประสงค์ให้หนังสือคำสอนพระพุทธศาสนา ที่ไม่ยากเกินไปแก่สมองเด็ก แต่ควรสอนบทธรรมง่ายๆ ที่เป็นประโยชน์ในการอบรมเด็กด้วย

ดังนั้น บทพระนิพนธ์ในสมเด็จพระสังฆราช ฯนี้ จึงเป็นหนังสือเกี่ยวกับหลักคำสอนทางพระพุทธศาสนาโดยใช้ภาษาที่เรียบง่ายและงดงาม ทุกคนสามารถอ่านแล้วเข้าใจได้ทันที  โดยใช้เทคนิคต่างๆ ในการอธิบายเปรียบเทียบคำสอนยากๆ ให้ง่ายขึ้น และใช้ได้ทุกยุคทุกสมัย อย่างเช่น การอธิบายเรื่อง “จิต” ที่เป็นเรื่องซับซ้อนและเข้าใจได้ยาก โดยการเขียนเปรียบเทียบจิตเหมือนกับเมืองที่เราอยู่อาศัย เป็นที่มาของชื่อหนังสือ “จิตตนคร” ซึ่งผมเห็นว่าเป็นสิ่งที่ประเทศไทยเราต้องการ เพราะเด็กไทย คนไทย จะได้มี “จิตสำนึก” ในเรื่องความดีความชั่ว จึงส่งเสริมให้มีการผลิตในรูปแบบ “การ์ตูนอนิเมชั่น” จากความร่วมมือของสำนักงานส่งเสริมอุตสาหกรรมซอฟต์แวร์แห่งชาติ (องค์การมหาชน) (SIPA) ภายใต้การกำกับดูแลของกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม และขอให้กรมการศาสนา กระทรวงวัฒนธรรม, หน่วยงานภาครัฐและเอกชนต่างๆ รวมถึงขอความร่วมมือจากสื่อสารมวลชนในการเผยแพร่ต่อไป

ทั้งนี้ รัฐบาลได้นำการ์ตูนอนิเมชั่นชุด “เมืองนิรมิตแห่งจิตตนคร” มาเปิดตัวในงานวันเด็กแห่งชาติ ปีนี้ ณ ทำเนียบรัฐบาล สำหรับสื่อมวลชน ทั้งภาครัฐและเอกชน สามารถติดต่อ เพื่อร่วมกันนำการ์ตูนอนิเมชั่นชุดนี้ไปเผยแพร่ ให้ผ่านช่องทางต่างๆได้ “ฟรี” นะครับ ไม่มีค่าใช้จ่าย โดยติดต่อกับหน่วยงานที่รับผิดชอบ ตามรายละเอียดบนหน้าจอครับ 

(สำนักงานส่งเสริมอุตสาหกรรมซอฟต์แวร์แห่งชาติ (องค์การมหาชน) หรือที่วัดบวรนิเวศวิหาร โทรสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่  02-1417158/02-1417157  ฝ่ายสื่อสารองค์กรซิป้า)

พี่น้องประชาชนที่รักครับ สุดท้ายนี้ผมขอเชิญชวนพี่น้องประชาชนทุกท่านที่มีความสนใจพาลูกหลานของเรา มาร่วมงานวันเด็กแห่งชาติ ประจำปี 2560 ณ ทำเนียบรัฐบาลในวันเสาร์ที่ 14 มกราคมนี้ ตั้งแต่เวลา 08.00-15.00 น. ภายใต้แนวคิด “ดินแดนแห่งความสุขตามศาสตร์พระราชา” โดยจะมีกิจกรรมต่างๆที่ช่วยสร้างความรู้และความสนุกสนานเพลิดเพลิน ให้แก่เด็กๆ เช่นเดียวกับทุกปีที่ผ่านมา นอกจากเด็กๆจะได้มีโอกาสนั่งเก้าอี้ประจำตำแหน่งนายกรัฐมนตรีแล้ว ซึ่งเป็นไฮไลท์ของงานวันเด็กที่ทำเนียบรัฐบาล อยากให้ลูกหลานทุกคนได้มีการละเล่นอย่างสนุก และเรียนรู้จากกิจกรรมที่จัดไว้ให้ โดยเฉพาะ “ศาสตร์พระราชา” ของในหลวงรัชกาลที่ 9 ซึ่งมีทั้งการฉายภาพยนตร์แอนิเมชั่น “พระมหาชนก” และภาพยนตร์สั้น “เมืองนิรมิตแห่งจิตตนคร” ตามที่กล่าวมาแล้วครับ นอกจากนั้นยังมีสถานที่อื่นอีกมากมายนะครับ ทั้งต่างจังหวัดและในกรุงเทพฯ อีกหลายแห่งนะครับ

นอกจากนั้นยังมีการจำลองป่าชายเลน, กังหันน้ำชัยพัฒนา, หลักการทรงงาน, การแสดงโขนเด็ก, ศิลปะมวยไทย และบูธของหน่วยงานต่างๆ รวมทั้งเปิดโอกาสให้เด็กๆ ได้เยี่ยมชมตึกไทยคู่ฟ้า, ห้องประชุมคณะรัฐมนตรี, รถนำขบวนเกียรติยศ, การแสดงดนตรีและศิลปวัฒนธรรม, กิจกรรมซุ้มอ่านข่าว, หุ่นยนต์ปฏิบัติการ, ฟุตบอลสนามเล็ก, สนามเด็กเล่นรีไซเคิล, นิทานในสวน, วาดภาพระบายสี, ประกวดคัดลายมือ, บริการตรวจสุขภาพฟันและตัดผม ตลอดจนการแจกของขวัญ ของรางวัล อาหาร ขนมและเครื่องดื่มจากหน่วยงานต่างๆ มากมาย 

ขอเชิญชวนผู้ปกครองอีกครั้งนะครับนำบุตรหลานไปร่วมงานวันเด็กได้ทุกที่  โดยเฉพาะอย่างยิ่งที่ทำเนียบรัฐบาลและผมก็จะรอพบท่าน และลูกๆหลานๆของท่าน ที่ทำเนียบรัฐบาลในวันพรุ่งนี้ ฝากอีกเรื่องหนึ่งนะครับ คือช่วยระมัดระวังการพลัดหลงกับบุตรหลานเนื่องจากจะมีผู้คนร่วมงานเป็นจำนวนมากทั้งที่ทำเนียบและทั่วประเทศ ขอให้เขียนป้ายชื่อเด็ก ชื่อผู้ปกครอง พร้อมเบอร์โทรศัพท์ สถานที่อยู่ ใส่ไว้ในกระเป๋าเด็กไว้ด้วยนะครับ

สุดท้ายนี้ในวันอาทิตย์ที่ 15 มกราคมที่จะถึงนี้ รัฐบาลจะจัดรายการ “ประชารัฐร่วมใจ ช่วยพิบัติภัยภาคใต้” เพื่อเป็นกำลังใจ และช่วยเหลือพี่น้องชาวไทย ที่กำลังประสบอุทกภัยในภาคใต้ ผมก็เรียนเชิญชวนประชาชนทุกคนร่วมกันติดตามและแสดงพลังความสามัคคี ความเป็นหนึ่งเดียว ในการเป็นกำลังใจ เสียสละให้การสนับสนุนในรูปแบบประชารัฐ เพื่อช่วยเหลือพี่น้องร่วมชาติ ในยามต้องเผชิญความลำบากทุกข์เข็ญ เริ่มถ่ายทอดพร้อมกันทุกช่อง ในเวลา 18.00-18.20 น. และต่อจากนั้น ติดตามชมได้ทาง NBT จนถึงเวลาประมาณ 20.00 น. นะครับ 

ขอบคุณครับ ขอให้ “ทุกคน” มีความสุขในช่วงวันหยุดสุดสัปดาห์ใช้เวลาในห้วง               “วันเด็ก” ให้เกิดประโยชน์ต่อลูกหลาน และครอบครัว และประเทศชาติด้วย 

ส่งแรงใจ ความห่วงใยไปยังพี่น้องชาวไทยที่รักทุกคนที่ประสบอุทกภัยที่ภาคใต้ไปพร้อมกันด้วยนะครับ สวัสดีครับ

p.p1 {margin: 0.0px 0.0px 0.0px 0.0px; font: 11.0px Helvetica; -webkit-text-stroke: #000000} p.p2 {margin: 0.0px 0.0px 0.0px 0.0px; font: 11.0px Helvetica; -webkit-text-stroke: #000000; min-height: 13.0px} span.s1 {font-kerning: none}