นายกฯยันตั้ง Super Board ป้องทุจริตจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐ- รัฐวิสาหกิจ

by ThaiQuote, 24 กุมภาพันธ์ 2560

สวัสดีครับ พ่อแม่พี่น้องชาวไทยที่รักทุกท่าน

วันนี้ ผมมี “ศาสตร์พระราชา” ที่มีความสำคัญ ในการสร้างความมั่นคงของชีวิต เพื่อจะลดปัญหาปากท้อง หนี้สิน ที่เราเรียกว่า “ชักหน้าไม่ถึงหลัง”  และป้องกันปัญหาสังคมได้ ตั้งแต่ในระดับครัวเรือนนะครับ ซึ่งมีความสำคัญอย่างยิ่งอันได้แก่แนวคิดและวิธีปฏิบัติที่เกี่ยวกับการบริหารการเงินของในหลวงรัชกาลที่ 9 ตามที่ “สมเด็จย่า” ได้ทรงอบรมสั่งสอน ตั้งแต่ทรงพระเยาว์ อาทิเช่นการจ่ายค่าขนมเป็นรายสัปดาห์เพื่อให้รู้จักการบริหารเงินโดยทรงหยอดกระปุกไว้ซื้อของที่สนพระทัย เช่นเครื่องดนตรี, กล้องถ่ายรูป, รถจักรยาน รู้จักการอดออม โดยทรงฝากเงินในธนาคารและเรียนรู้การคำนวณดอกเบี้ย  รู้จักการลงทุนและการสร้างรายได้ โดยทรงซื้อเมล็ดพันธุ์ผักมาปลูกแล้วเก็บไปขาย รู้จักการให้ ได้ตั้ง “กระป๋องคนจน”ซึ่งทรงสละเงิน 10 % จากกิจกรรมที่มีกำไรสำหรับนำไปมอบให้โรงเรียนตาบอด, เด็กกำพร้าหรือทำกิจกรรมเพื่อคนยากจน เหล่านี้เป็นต้นนะครับ ผมไม่ทราบว่าเด็กๆเดี๋ยวนี้ยังคงเก็บเงินค่าขนมไว้ฝากธนาคารบ้างหรือเปล่านะครับ

โครงการตัวอย่างที่ผมเห็นว่าสมควรสนับสนุน และน่าชื่นชมอันได้แก่ โครงการ “ออมวันละน้อยตามรอยสมเด็จพ่อ สานต่อเศรษฐกิจพอเพียง” ของโรงเรียนอนุบาลอุตรดิตถ์ ซึ่งเป็นการดำเนินตามนโยบาย “ลดเวลาเรียน เพิ่มเวลารู้” ของรัฐบาล ได้มีการสอนให้เด็กนักเรียนเป็น “นักธุรกิจตัวน้อย” โดยนำสินค้าเล็ก ๆ น้อย ๆรวมทั้งสิ่งประดิษฐ์  ของเล่น  อาหารจากกิจกรรมนอกเวลาเรียนมาซื้อ-ขายใน “ตลาดนัดร้อยร้าน” ที่ทางโรงเรียนจัดเป็นประจำทุกปีในช่วงเดือนมกราคมถึงเดือนกุมภาพันธ์ เพื่อจะส่งเสริมให้เด็ก ๆนั้นได้รู้จักการเป็นทั้งผู้ขายและผู้ซื้อ, ได้รับประสบการณ์จริงจากการประกอบอาชีพค้าขาย ซึ่งถือว่าเป็นอาชีพสุจริตนะครับ, รู้เทคนิคการขาย การเรียกลูกค้าและเห็นคุณค่าของเงิน รู้จักการออม การบริหารการเงิน จัดทำบัญชี มีการเก็บเงินบางส่วนไว้เป็นทุนการศึกษาและซื้ออุปกรณ์การเรียนต่างๆ อีกด้วย สิ่งที่สำคัญคือ สามารถนำความรู้ไปประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวันได้จริง ไม่ว่าจะตอนเด็กหรือโตแล้วนะครับ ก็ขอให้ช่วยกันคิดและสร้างสรรค์กิจกรรมดี ๆ เหล่านี้ที่จะเป็นการสานต่อ “ศาสตร์พระราชา” ให้สอดคล้องกับนโยบายรัฐบาล เพื่อจะปลูกฝังให้เยาวชนของชาติได้มีทักษะทางธุรกิจตั้งแต่ต้นทาง – กลางทาง – ปลายทาง และรู้คุณค่าของเงิน การบริหารการเงิน รวมทั้งการออมด้วยนะครับ โตขึ้นเราจะได้พึ่งพาตนเองได้ มีความเข้มแข็งตั้งแต่ในระดับฐานราก ช่วยครอบครัวนะครับ

เรื่องที่ผมอยากทำความเข้าใจกับพี่น้องประชาชนในวันนี้หลายเรื่องด้วยกัน  เรื่องแรกก็คือเรื่องพลังงาน ก็ขอให้เข้าใจว่าพลังงานนั้นจะมีความสำคัญมากทั้งในปัจจุบันและอนาคต โดย เฉพาะอย่างยิ่งการขับเคลื่อนประเทศไปสู่ “ไทยแลนด์ 4.0” ซึ่งจำเป็นต้องอาศัยเทคโนโลยีที่ทันสมัย มีการวิจัยและพัฒนารวมทั้งจัดหานวัตกรรมใหม่ๆซึ่งล้วนต้องใช้พลังงานทั้งสิ้น สำหรับโครงสร้างพื้นฐานทุกระบบ ทั้งการคมนาคมขนส่ง และการสื่อสาร  สารสนเทศ, อินเตอร์เน็ต และในกิจกรรมภาคเกษตรกรรม, อุตสาหกรรม,  การท่องเที่ยวและบริการ ซึ่งนับวันจะมากขึ้นนะครับ อย่างไรก็ตามรัฐบาลและ คสช.ก็ต้องคำนึงการสร้างความสมดุลระหว่างการพัฒนาในด้านพลังงานกับการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติสิ่งแวดล้อมอยู่เสมอ โดยผมยืนยันว่าจะทำให้ดีที่สุดนะครับ ทั้งนี้ก็เพื่อจะรักษาสิ่งแวดล้อมและทรัพยากรธรรมชาติของประเทศที่มีอยู่อย่างจำกัด แต่ก็อยากให้ประชาชนได้ทำความเข้าใจให้ถ่องแท้นะครับเพราะหากลงทุนด้านพลังงานที่ไม่เหมาะสมกับสภาพความเป็นจริงแล้ว อาจจะเป็นปัจจัยเสี่ยงด้านความมั่นคงทางพลังงานเป็นอย่างยิ่ง  สำหรับเชื้อเพลิงที่ใช้กับเครื่องกำเนิดไฟฟ้านั้นมีหลายประเภทด้วยกันเราก็อาจจะต้องจำเป็นต้องพิจารณาให้เกิดความเหมาะสม เราไม่อาจจะพึ่งพาฝากความหวังไว้แต่เพียงอย่างใดอย่างหนึ่งนะครับ อาทิเช่นกับก๊าซธรรมชาติหรือน้ำมัน วันนี้เราพึ่งพาอยู่ 70 % นะครับ เช่นในปัจจุบันเราต้องลดลงแล้วหาเชื้อเพลิงอื่นที่เหมาะสม  ราคาถูก หาง่าย แล้วก็ปลอดภัย มีคุณภาพ ตลอดจนไม่มีความเสี่ยงในเรื่อง “ราคา” มากนัก เพื่อจะมาทดแทน 70% ที่ว่านะครับให้ลดน้อยลง ไม่เช่นนั้นมันก็จะเป็นภาระของพี่น้องประชาชน และภาคการลงทุนต่าง ๆ ก็จะเกิดอุปสรรคทางด้านสังคมและเศรษฐกิจตามมา เพราะฉะนั้นการใช้พลังงาน ฟอสซิลดังกล่าว ทั้งแก๊ส ทั้งน้ำมันนั้นจะต้องลดลงจาก 70 % ให้เหลือ 60% ให้ได้ก่อน แล้วเราก็จำเป็นต้องเพิ่มพลังงานทดแทน พลังงานหมุนเวียน เช่นพลังงานจากขยะ, ชีวมวล, ลม, แดด  อื่นๆนะครับ เราก็ทำอยู่แล้วในขณะนี้ ถ้าหากเราทำเพิ่มได้จาก 30 % เป็น 40% ก็ย่อมจะดีกว่าเดิมนะครับ ลดการผลิตแก๊ส CO2 ลดปัญหาโลกร้อนได้ด้วย เพราะฉะนั้นเราจำเป็นต้องปรับอัตราส่วน แผน PDP ของเราจากการใช้พลังงานจากฟอสซิล 70 %  กับ 30 % จากพลังงานหมุนเวียน ให้เป็น 60 % และ 40 % ตามลำดับนะครับ

ปัญหาสำคัญต่อมาก็คือวันนี้เราอาจจะเข้าใจไม่ตรงกัน ก็คือคำว่า “ความเสถียร” และ “ไม่เสถียร” ก็คือความแน่นอนนะครับ ของพลังงานที่เกิดขึ้น จากการผลิตจากเชื้อเพลิงต่างๆ ที่กล่าวมาแล้วข้างต้นนะครับ แล้วก็การก่อสร้าง ต้นทุนการก่อสร้าง วัสดุต้นทุนที่นำมาใช้ในการเป็นเชื้อเพลิงเหล่านี้อาจจะทำให้มีต้นทุนการผลิตกระแสไฟฟ้าที่สูงขึ้น เราต้องเอาสิ่งเหล่านี้มาพิจารณาด้วยนะครับ อาจจะส่งผลกระทบกับ “ค่าไฟ” ของคนทั้งประเทศเพราะเราเอามารวมกันแล้วก็หารแบ่งกันนะครับ ใช้อัตราค่าไฟเท่ากันทั้งประเทศอาจจะทำให้ “ค่าครองชีพ” สูงขึ้น “เป็นเงาตามตัว” เพราะฉะนั้นรัฐบาลก็ต้องมองในหลายประเด็นด้วยกันไม่ว่าจะเป็นพลังงานจากแก๊ส จากน้ำมัน จากถ่านหิน จากพลังงานทดแทน พลังงานทางเลือกทุกอย่างต้องพิจารณาในทุกแง่ทุกมุมนะครับ   ซึ่งถ่านหินนั้นเราก็เอามาพิจารณาเป็นทางเลือกหนึ่งที่จะนำมาพิจารณาในการจะพยายามลดสัดส่วนและค่าใช้จ่ายจากก๊าซธรรมชาติหรือน้ำมัน ที่เราจำเป็นต้องนำเข้าเป็นจำนวนมากทุกปีนะครับ เราก็ไม่มั่นใจว่าวันหน้าจะสะดวกง่ายดายแบบนี้หรือไม่  มีพอหรือเปล่า ราคาจะสูงขึ้นอีกหรือเปล่านะครับ แล้วเขาจะขายหรือไม่วันหน้า ถ้าน้อยลง ๆ นะครับ อันนี้เป็นสิ่งที่เป็นความเสี่ยง ในส่วนของที่เป็นถ่านหินนั้นถ้าเราสามารถทำได้นะครับ ผมใช้คำว่าถ้าสามารถทำได้นะครับ จะต้องเป็นถ่านหินที่มี “คุณภาพสูง” ไม่ใช่ถ่านหินลิกไนต์ แล้วก็จะต้องเป็นชนิดที่สร้างมลภาวะน้อยที่สุดนะครับ ซึ่งการสร้างมลภาวะนั้นมีอยู่หลายอย่างด้วยกันที่เกี่ยวข้อง วันนี้ก็ยังมีใช้อยู่ในต่างประเทศด้วยนะครับ ไม่ใช่เป็นถ่านหิน ลิกไนต์  เป็นถ่านหินชนิด “บิทูมินัส” ซึ่งมีคุณภาพ มีระบบกำจัดในกระบวนการผลิตที่ทันสมัย และเป็นมาตรฐานสากล

เราต้องฟังหลาย ๆ ทางนะครับ ผมไม่ได้หมายความว่าอย่างใดอย่างหนึ่งดีกว่าอย่างหนึ่ง ต้องไปดูซิว่าหลักการและเหตุผลคืออะไร หลายประเทศเขาใช้อยู่หรือเปล่า ประเทศเพื่อนบ้านเรามีไหมนะครับ คำว่าลดลง หรือเพิ่มขึ้นก็เป็นปัจจัยหนึ่งนะครับในการที่จะก่อสร้างโรงไฟฟ้าประเภทนี้ แต่ต้องไปดูซิว่าเขาสร้างประเภทอื่นมากขึ้น ลดจำนวนโรงไฟฟ้าลงได้หรือไม่นะครับ ในขณะเดียวกันก็ผลิตไฟฟ้าได้มากขึ้น กิโลวัตต์มากขึ้นก็ลดจำนวนโรงไฟฟ้าลง แต่ก็คงมีการใช้เชื้อเพลิงชนิดต่าง ๆ อยู่เหมือนเดิมนะครับ   ทั้งนี้เราจะต้องทำให้สอดคล้องกับการลดก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ (CO2) และการลดโลกร้อนลงไปด้วย ซึ่งผมได้ไปกล่าว หรือไปรับทราบมติในที่ประชุมสหประชาชาติไปแล้วว่าเราต้องพยายามลดให้ได้ 20 - 25% ภายในปี 2030 อันนี้ผมไม่เคยลืมนะครับ แล้วผมไม่ได้มุ่งหวังว่าที่ทำมานี่เพื่อจะยกเลิกอันนี้ ไม่ปฏิบัติตามพันธะสัญญาหรือไปทำเพื่อประโยชน์ใครทั้งสิ้น ผมมองว่าประโยชน์ประเทศชาติอยู่ตรงไหน ประชาชนอยู่ตรงไหนนะครับ เพราะฉะนั้นอะไรที่ทำได้เราก็ต้องหาทางพิจาณาหาความร่วมมือกันให้ได้ 

ทั้งนี้อยากจะเรียนให้ทราบว่าประเทศไทยนั้นเราอาจจะโชคดีนะครับ ที่เราผลิตก๊าซ CO2 ก๊าซคาบอนไดออกไซด์ เพียง 0.9% นะครับ ซึ่งถือว่าน้อยมากกว่าหลายๆประเทศในโลกแต่รัฐบาลก็จำเป็นที่จะต้องปฏิบัติตามพันธะสัญญา แล้วขณะเดียวกันต้องรับฟังเสียงจากประชาชนไปด้วย จะเห็นว่า 2 ปีที่ผ่านมานั้นรัฐบาลก็ฟังมาโดยตลอดนะครับ ไม่ได้หมายความว่าจะไปสั่งการหรือลงมติโดยที่ไม่ฟังเสียงจากประชาชนเลย เราต้องการการมีส่วนร่วมนะครับ ด้วยความเข้าใจมากกว่าการบังคับใช้กฎหมายนะครับ สำหรับในเรื่องของการทำ EIA / EHIA ก็อย่าไปฟังคำบิดเบือนของใครทั้งสิ้น วันนี้ให้ไปทำใหม่ก็ไปทำใหม่ คำว่าทำใหม่ก็ต้องมีของเก่าอยู่แล้วด้วย ก็เอาของเก่ามาพิจารณาร่วมกันกับของใหม่ที่ยังทำไม่เสร็จ ทั้งหมดทั้งฉบับน่ะ ทั้ง 2 เรื่องก็ต้องทำให้ผ่านทั้งหมดนะครับ

เพราะฉะนั้นถ้าไม่ผ่านจะทำยังไง ไม่ผ่านก็สร้างไม่ได้ ผมจะไปบังคับได้ยังไงนะครับ แต่ทุกคนต้องยอมรับในสิ่งที่เกิดผลตามมานะครับ แล้วเราก็ต้องไปพิจารณาทางเลือกอื่นๆ ที่จะทำ อย่าให้ประชาชนเดือดร้อนในเรื่องของ “ค่าไฟฟ้า”น้อยที่สุด รวมทั้งต้องคำนึงถึง “ต้นทุนด้านพลังงาน” ชนิดอื่นๆ อีกด้วยนะครับ ความมีเสถียรภาพคือไม่สม่ำเสมอนะครับ เพราะการผลิตไฟฟ้าด้วยพลังงานทดแทนสามารถใช้ในโรงงานขนาดเล็กนะครับ ในการที่จะส่งเข้าเป็นพลังงานหลัก พลังงานไฟฟ้าหลักในระบบนี่ค่อนข้างจะเป็นปัญหานะครับ เพราะบางครั้งนี่ขึ้นๆ ลงๆไม่เสถียร ต้องมีพลังงานหลักใส่เข้าไปด้วยเพราะฉะนั้นถ้าเราสามารถที่จะทำได้อย่างที่ว่าทั้งหมดก็จะมีการผสมกัน ทดแทนกันอยู่ในกรอบ 100% นะครับ ของการจัดหาพลังงานตามแผน PPP จะต้องตอบคำถามข้างต้นได้ทั้งหมด ตอบคำถามประชาชนได้ด้วย   รัฐบาลจริงๆ แล้วก็ไม่อยากจะสร้างโรงไฟฟ้าถ่านหินหรอกนะครับ เพราะว่าไม่ได้เป็นผลอะไรกับผมเองหรือกับรัฐบาล กับครม. แต่เป็นผลกับประเทศชาติ ถ้าทำได้ก็คือทำได้ ทำไม่ได้ก็คือทำไม่ได้ เพราะฉะนั้นผมไม่อยากให้มาขัดแย้งกันอีกนะครับ ก็มีการพูดจาหารือกันดีๆ ไม่จำเป็นต้องมาประท้วง  ผมก็ให้ทบทวนอยู่แล้วล่ะในขณะนี้ แต่อย่าใช้คำว่าจะกดดันอย่างโน้นอย่างนี้ ถ้าทำ หรือถ้าไม่ทำจะเป็นยังไง ผมว่าไม่ถูกต้อง กฎหมายก็มีอยู่นะครับ เพราะฉะนั้นรับฟังเหตุผลซึ่งกันและกัน อย่าประท้วงกันอีกเลยนะครับ ให้เสียแรงเสียเวลา อันตราย เดินทางไป-มานะครับ เสียเวลาหาสตางค์ดูแลครอบครัวด้วย ช่วยกันไปพัฒนาตนเอง ทำความเข้าใจ เดินหน้าประเทศ ดีกว่านะครับ

เรื่องสำคัญก็คือเราไม่อาจใช้การเกษตรกรรมเป็นรายได้ของประเทศแต่เพียงอย่างเดียวได้อีกต่อไปนะครับ  เพราะราคาพืชผลทางการเกษตรมีความผันผวน ไม่แน่นอน เราก็จำเป็นต้องเป็น “ประเทศเกษตรอุตสาหกรรม” และก็มีอุตสาหกรรมอื่นๆที่ไม่ทำลายสิ่งแวดล้อมด้วยนะครับ มิฉะนั้นประเทศเราจะมีรายได้ไม่เพียงพอ สำหรับในการที่จะนำมาพัฒนาประเทศ หรือการพัฒนาด้านสวัสดิการของรัฐ  สาธารณสุข, การศึกษา, การดูแลผู้สูงวัย และอื่นๆ อีกมากมายนะครับ ที่ทุกคนก็ทราบดี ผมก็อยากให้ทุกคน  ทุกฝ่ายพยายามทำความเข้าใจกันหน่อยนะครับ

ทุกอย่างไม่ว่าจะทำอะไรก็ตาม ก็เหมือน “เหรียญ 2 ด้าน” นั่นแหละ มีได้ก็ต้องมีเสีย แต่เหรียญที่มีด้านเดียวเป็นเหรียญใช้ไม่ได้อยู่แล้ว  เหรียญ 2 ด้านมีได้มีเสีย แต่ต้องมีได้มากกว่ามีเสีย แล้วจะดูแลผู้ที่เสียอย่างไรนะครับ เราจะมุ่งไปทางใดทางหนึ่งอย่างเดียวไม่ได้ เปรียบเสมือนเหรียญ 2 หน้าที่ต้องมีสมบูรณ์ทั้ง 2 ข้างนะครับ เราต้องหาทางเลือกที่เหมาะสมของประเทศให้ได้ในทุกมิติ สำหรับการทำ EIA/EHIA นั้นก็ขอให้เร่งทำให้ได้ข้อยุติ จะได้หรือไม่ได้ก็แล้วแต่ ยิ่งช้าก็จะยิ่งเสียการ จะได้รีบคิดกันใหม่จะทำอะไร แล้วก็ต้องยอมรับความเสี่ยงที่เกิดขึ้นในอนาคตร่วมกันนะครับ การเสียอนาคตเสียโอกาส ความเสี่ยง พลังงาน ต้นทุนแล้วก็ความเสถียร แล้วก็ราคาค่าไฟฟ้าสูงขึ้น ทุกคนต้องร่วมกันรับผิดชอบด้วยนะครับ เพราะรัฐบาลพยายามทำอย่างเต็มที่แล้วอาจจะทำให้ขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศนั้นมีปัญหาอีกนะครับ

อย่างไรก็ตาม แง่มุมที่ผมเห็นว่าจากเหตุการณ์ครั้งนี้ เป็นเรื่องที่น่าชื่นชมนะครับที่คนไทยในวันนี้มีความตื่นตัวในเรื่องของการพัฒนาและการอนุรักษ์ธรรมชาติ สิ่งแวดล้อม รวมทั้งความมั่นคงทางพลังงานของประเทศ ถ้าไม่ขัดแย้งกันก็ไม่รู้กัน ไม่รู้ว่าสำคัญอย่างไร ไม่รู้ว่ามีอะไรอยู่บ้าง ถ้าทุกคนใช้โอกาสนี้สำรวจตัวเองว่าเรารู้หรือยัง เรารู้ครบถ้วนหรือยัง ก็จะแก้ปัญหาได้ ถ้ายังรู้ไม่พอก็ฟัง ก็อ่านเอานะครับ แล้วก็ตัดสินใจด้วยตัวเอง หรือปรึกษากันในสิ่งที่เป็นประโยชน์นะครับ   

ในส่วนของการรักษาสิ่งแวดล้อมนั้น ผมอยากจะขอร้องว่าให้ช่วยกันสำรวจตัวเองนะครับว่าวันนี้เราใช้กล่องโฟม,ใช้ถุงพลาสติกกันแต่ละครัวเรือน แต่ละคนมากน้อยเพียงใดนะครับ เพราะว่าเป็นขยะซึ่งทำลายได้ยาก เป็นร้อยปีนะครับ เพราะฉะนั้นเรามีการทิ้งขยะแยกประเภทหรือยัง มีการแยกขยะตั้งแต่ต้นทางหรือยัง เจ้าหน้าที่ขนได้ตรงตามที่แยกไว้หรือยัง  ทุกส่วนเกี่ยวข้องกันหมด ทั้งประชาชน ภาครัฐ ภาคเอกชน ภาคธุรกิจ การใช้ไฟฟ้า เราประหยัดพอหรือยัง ปิดไฟเมื่อหมดความจำเป็น ปิดเครื่องใช้ไฟฟ้า, คอมพิวเตอร์, โทรทัศน์ เมื่อไม่ใช้ หรือหลอดไฟทุกหลอดนะครับ อีกอย่างหนึ่งก็การประหยัดพลังงานน้ำมัน แก๊สนะครับ ที่เราใช้กันอย่างบางที่ก็ไม่ระมัดระวัง ราคาถูกวันหน้าราคาขึ้นจะทำอย่างไร รัฐบาลก็ไม่สามารถจะอุดหนุนได้อีกแล้วนะครับในวันต่อไป   

ถ้าหากว่าท่านช่วยกันทำอย่างนี้ แล้วก็ปลูกฝังลูกหลานให้ทำเป็นนิสัย ทำในสิ่งที่ “ถูกต้อง” เหล่านี้ ด้วยเหตุด้วยผลก็จะทำให้เกิดผลดีในทุกด้านนะครับ ไม่แต่เพียงการประหยัดเท่านั้น รวมความไปถึงการสร้างจิตสำนึก แล้วก็เกิดความร่วมมือกับสังคมกับรัฐบาล กับชาวโลกนะครับในการที่จะรักษาสิ่งแวดล้อม และการอนุรักษ์ธรรมชาติที่ดี

เรื่องถุงพลาสติกนะครับ ขอให้ทุกคนถือว่าเป็นเรื่องสำคัญ ทุกคนควรช่วยกันรณรงค์ตั้งแต่บัดนี้ไปเลยนะครับ ให้ใช้ “ถุงผ้า” นำถุงผ้าไปซื้อของด้วยนะก็มีหลายชนิด ชนิดที่กันน้ำได้ ภายในก็บุเป็นอะไรที่กันน้ำได้ ที่ทำลายได้ง่ายนะครับ ก็ขอให้นำติดไปแล้วกันจะได้ลดการใช้ถุงพลาสติก อีกหน่อยห้าง ร้านค้าอาจจะต้องคิดราคาถุงพลาสติกด้วยนะครับ เพราะจะต้องส่งเสริมกันทุกมมิติ สำคัญอยู่ที่ประชาชนนะครับ

เรื่องที่สอง เรื่องมาตรา 44 ก็มีคนพูดกันมากมาย วิพากษ์วิจารณ์กันทั้งดีและไม่ดี ตลอดจนคำสั่งคสช. ต่าง ๆนั้นก็อยากให้เข้าใจตรงกันนะครับว่าเป็นเพียงกฎหมายชนิดหนึ่ง เหมือนกับกฎหมายอื่น ๆ ที่ออกมาใช้เพียงเพื่อจะ “ปลดล็อก” อุปสรรคด้านกฎระเบียบต่างๆ ที่ไม่ทันสมัย เป็นอุปสรรคต่อการบริหารราชการแผ่นดินหรือให้การดำเนินการต่าง ๆ ได้อย่างรวดเร็วขึ้น รวมทั้งระงับข้อขัดแย้งในกฎหมายหลายฉบับที่อาจจะมีผลต่อการทำงาน ที่เป็นการแก้ไขเป็นมาตรการเฉพาะหน้านะครับ เพื่อให้การขับเคลื่อนประเทศ การเดินหน้าประเทศมีความต่อเนื่องและต้องเป็นการกระทำโดยสุจริตของเจ้าหน้าที่ด้วยนะครับ อีกประเด็นหนึ่งก็คือต้องใช้ในการแก้ปัญหาความมั่นคงเพราะว่ามีหลายคน หลายประเภท หลายพวก ที่ไม่ค่อยชอบปฏิบัติตามกฎหมายปกติ กฎหมายอะไรก็ไม่ทำสักอย่าง ผมก็ไม่ทราบจะทำยังไงเหมือนกัน เพราะฉะนั้นไม่อยากให้มาโทษมาตรา 44 อย่างโน้นอย่างนี้นะครับ ถ้าท่านไม่ทำความผิด มาตราไหนก็ทำอะไรไม่ได้ทั้งสิ้นนั่นแหละ   

ตัวอย่างที่เราใช้ไปแล้ว “งานที่คั่งค้าง”ในอดีตอาทิเช่น การขอตั้งโรงงานกว่า 4,000 ราย, การขอใบอนุญาตจาก อย. กว่า 10,000 ราย การขอจดสิทธิบัตรของต่างประเทศ ที่ยื่นขอมา 20 ปีแล้ว กว่า 12,000 ราย เหล่านี้เป็นต้นนะครับ ค้างคามาได้ยังไง รัฐบาลนี้เข้ามาก็เข้าไปแก้ไขในทันทีที่ทำได้ เพราะเสียโอกาสนะครับ เสียขีดความสามารถในการแข่งขันและให้การประกอบธุรกิจในระดับฐานรากเดินหน้าไปได้ด้วย เพราะสร้างงาน สร้างอาชีพ สร้างรายได้ ไปติดในเรื่องไม่เป็นเรื่อง ไม่สนใจ ไม่เอาใจใส่ ไม่กำกับดูแลก็จำเป็นต้องใช้มาตรา 44 มาแก้ไขให้สำเร็จนะครับ

ส่วนมาตรการที่ทำให้เกิดความยั่งยืนในเรื่องกฎหมายนี้ ก็คือว่าจะต้องมีการออกเป็นกฎหมายในรูปแบบต่างๆ ตามความเหมาะสมนะครับ หลังจากที่มีมาตรา 44 ไปแล้ว โดยจะต้องให้มีผลบังคับใช้ในเวลาต่อมาอย่างยั่งยืน ซึ่งตอนนี้กำลังทยอยผลักดันเข้าสู่กระบวนการออกกฎหมาย ทางนิติบัญญัตินะครับ อาจจะต้องใช้เวลานานพิจารณากัน 3 วาระ บางทีเป็นเดือน หลายเดือน รัฐบาลนี้ได้ผลักดันกฎหมายทั้งหมดเข้าสู่กระบวนการแล้วกว่า 500 ฉบับนะครับ วันนี้มีผลบังคับใช้เป็นพระราชบัญญัติแล้วกว่า 200 ฉบับ ไม่นับรวมการแก้ไขระเบียบ กฎ  ข้อบังคับอื่นๆ อีกเป็นจำนวนมาก ถ้ารวมความไปแล้วทุกกระทรวง ทบวง กรม มีเป็นหมื่นนะครับ กฎหมายนะทั้งทันสมัย ไม่ทันสมัย ที่จะต้องแก้ปัญหาทั้งหมดนะครับ ก็ต้องอาศัยเวลาดำเนินการต่อไปทุกรัฐบาล ประเด็นสำคัญก็คือเราจะต้องเอากฎหมายที่เร่งด่วนมาดำเนินการก่อน กฎหมายที่ทำไม่ได้หรือไม่เคยทำ  เพราะว่ามีพันธะสัญญาระหว่างประเทศอีกด้วยนะครับ เรามีความจำเป็นในการที่ต้องบริหารราชการแผ่นดิน แล้วก็มีการสร้างความเชื่อมั่นให้กับประชาคมโลกไปด้วย อาทิเช่น การแก้ปัญหา CITES นะครับ การค้างาช้างที่ผิดกฎหมาย เราทำสำเร็จไปแล้ว รวมทั้ง IUU กำลังคืบหน้า แล้วก็ ICAO ซึ่งมีทิศทางที่ดีนะครับ ได้รับการยอมรับจากองค์กรระหว่างประเทศที่มาตรวจก็ชื่นชมนะครับในความจริงใจจริงจัง ความตั้งใจในการทำงาน เจตนารมณ์ของรัฐบาล เราก็คงต้องช่วยกันทำ ทำให้มีประสิทธิภาพ ประสิทธิผลมากยิ่งขึ้น ตามที่เขากำหนดมานะครับ ถ้าเราไม่ทำแบบนี้ปล่อยปละละเลย ไม่กำกับดูแล ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของข้าราชการอย่างเดียว การทำงานก็มีแต่ปัญหา ติดขัดไปหมด ไม่ทันเหตุการณ์ แล้วก็เท่ากับเราทำอะไรใหม่ ๆ ไม่ได้เลย  ปฏิรูปอะไรก็ไม่ได้ ติดของเก่า ติดปัญหาเดิมทั้งสิ้น

อีกกรณีหนึ่งก็คือกรณีธรรมกาย นะครับ ผมก็ไม่ได้หมายความว่าจะเอามาตรา 44 มารังแกพระ รังแกพุทธศาสนา ไม่เคยคิดอย่างนั้นเลยนะครับ ผมเป็นไทยพุทธนะ ครอบครัวผมก็ไทยพุทธ แต่ผมมีหน้าที่ในการดูแลทุกศาสนาที่อยู่ในประเทศไทย ทุกคนมีสิทธิ์ที่จะอาศัยอยู่ในประเทศไทยได้ เพราะฉะนั้นถ้าไม่จำเป็นก็ไม่ต้องออกหรอกครับ มาตรา 44 น่ะเกี่ยวกับเรื่องกรณีนี้เนื่องจากกฎหมายทุกกฎหมายไม่ได้รับการยอมรับเลย จากคนบางกลุ่ม บางพวก ใช้กฎหมู่อยู่เหนือกฎหมาย กระทำความผิดแล้วไม่ยอมรับอำนาจรัฐ ทับซ้อนอำนาจรัฐ ใช้กฎหมู่ ใช้คนจำนวนมาก ไม่เคารพไม่ปฏิบัติตามกฎหมายและกระบวนการยุติธรรม ปกติ แล้วก็มีการผิดวินัยสงฆ์ เข้าไปด้วยนะครับ เพราะฉะนั้นก็จำเป็นที่จะต้องใช้มาตรา 44 เพื่อมาดูแลในภาพรวม แต่วันนี้ถึงแม้ว่าจะใช้ม. 44 ก็ยังมีการต่อต้าน ดึงดัน ฝ่าฝืน ไม่ยอมรับกันอีก แล้ว เจ้าหน้าที่เขาก็ทำงานลำบากนะครับ วันนี้ก็เห็นว่าเจ้าหน้าที่เขาก็เหน็ดเหนื่อยนะ ทั้งที่เป็นเรื่องที่ไม่น่าจะเป็นเรื่องนะ มีการสร้างภาพเจ้าหน้าที่ทำร้ายประชาชน  การรักองค์กรนะครับ ไม่ว่าองค์กรใดก็ตาม เป็นสิ่งที่ดี ผมเคารพนะครับ แต่ต้องรักในทางที่ถูก ขจัดคนไม่ดีในองค์กรออกไป โดยให้กระบวนการยุติธรรม หรือกฎหมายตัดสิน บ้านเมืองมีขื่อมีแปนะครับ ไม่มีใครจะสามารถอยู่เหนือกฎหมายได้ คดีความก็คงต้องเดินหน้าต่อไปทุกคดี สังคมก็กำลังรอคำตอบอยู่นะครับ ต้องการเห็นความโปร่งใส

กฎหมายหลายฉบับที่มีอยู่แล้วนะครับบังคับใช้ไม่ได้ ก็เลยจำเป็นต้องใช้มาตรา 44 เหตุผลสำคัญอีกประการหนึ่งก็เห็นใจเจ้าหน้าที่เขาด้วย หลายหน่วยงานเขาก็ไปทำงาน เขามีความเสี่ยงนะครับ เขาเสี่ยงอยู่ท่ามกลางคนจำนวนมาก ความรุนแรงพร้อมจะเกิดขึ้นตลอดเวลา อาจจะมีบุคคลที่ 3 หรือ 4 อะไรก็แล้วแต่เข้ามา เพราะถ้ามีรุนแรงเกิดขึ้น เจ้าหน้าที่เขาก็มีครอบครัว มีลูกเมียที่ต้องรับผิดชอบ คนที่รักของเขาเหมือนกัน ถ้าเขาไม่ปลอดภัยขึ้นมา เขาถูกกระทบกระทั่ง ท้ายที่สุดก็บานปลายไปสู่การใช้กำลังกัน แล้วจะทำอย่างไรครับ ไม่เห็นใจเขาหรือเจ้าหน้าที่ พอเขาไม่ทำก็ไปว่าเขา พอเขาทำก็ไม่ได้อีก แล้วจะอยู่กันยังไงนะครับ เพราะฉะนั้นผมต้องทำ เพื่อให้เจ้าหน้าที่เขามีความมั่นใจในการทำงาน มีความรู้สึกปลอดภัยนะครับ เพราะว่าถ้าเขาประสบอันตรายขึ้นมา ใครรับผิดชอบเขาได้ แล้วลูกเมียใครจะเลี้ยงดูเขานะครับ ผมก็ต้องปกป้องดูแลเขาตามสมควร เพราะฉะนั้นไม่อยากให้ทุกคนมองเจ้าหน้าที่ เป็น “จำเลยสังคม” ที่ผ่านมาก็เคยเกิดเหตุการณ์อย่างนี้มาหลายครั้งแล้ว เจ้าหน้าที่ก็เป็นจำเลยทุกครั้งแหละนะ ขณะเดียวกันต้องกลับไปมองว่าสาเหตุเกิดจากอะไรถึงจะต้องใช้กฎหมายเข้ามาปฏิบัติ วันนี้อย่าให้ข้าราชการเขาลำบากเลยนะครับ ปกติแล้ววันนี้เขาสามารถใช้กฎหมายปกติได้ทุกอันนั่นแหละ ใช้กำลัง ใช้อาวุธได้ ในกรณีที่มีอาวุธต่อสู้เจ้าหน้าที่

วันนี้ก็ไม่ได้ใช้สักอย่าง เจ้าหน้าที่ทุกคนไม่มีอาวุธทั้งสิ้น  ก็ถูกผลักถูกดันถูกอะไรต่างๆ เยอะแยะไปหมด เขาอดทนนะครับ เพราะผมเห็นรอยยิ้ม ขอบคุณ ชื่นชมเจ้าหน้าที่ทุกคนนะครับ ไม่ว่าจะตำรวจ DSI ทหาร ข้าราชการฝ่ายพลเรือนต่าง ๆ พระนะครับ ทุกคนที่เข้ามาช่วยกันแก้ปัญหาตรงนี้ แต่ประเด็นสำคัญก็คือผู้ที่ทำให้เกิดปัญหาไม่ยอมร่วมมือ แล้วก็มีคนหมู่มากนี่ซึ่งอาศัยแรงศรัทธาของเขานี่มาชักจูง ทำให้ปัญหาแก้ได้ยากขึ้นไปอีกเรื่อยๆ นะครับ วันนี้เราไม่อยากใช้ในเรื่องของเครื่องมืออุปกรณ์ ในเรื่องของการบังคับใช้กฎหมาย การควบคุมฝูงชน หรือในเรื่องของพรบ.ชุมนุมสาธารณะ นะครับ เพราะว่าวันนี้เราพยายามอย่างเต็มที่ที่จะรักษาความสงบเรียบร้อยให้มากที่สุด ทุกคนต้องอยู่ด้วยกันให้ได้นะครับ ถ้าเรายังสู้กันอยู่แบบนี้ วันหน้าก็เป็นอย่างนี้ เพราะเป็นตัวอย่าง เป็นแบบอย่างที่ไม่ดีนะครับ ที่คนทั่ว ๆ ไปเห็นเขาก็รู้สึกไม่ดี เจ้าหน้าที่ก็รู้สึกไม่ดี เด็กๆ เห็นก็เป็นแบบอย่างวันหน้าก็เป็นแบบนี้อีก

ทำไมเราไม่หยุดเสียล่ะครับ หยุดซะวันนี้ ถ้าหยุดเมื่อไร มอบตัวกันทันทีให้เข้าไป บริหารจัดการให้โปร่งใส มาตรา 44 ก็ยกเลิกได้เมื่อนั้นนะครับเพราะเรียกร้องมา ขณะเดียวกันก็ยังผิดกฎหมายอยู่ประเทศไหนเขาทำกันบ้างล่ะครับ เราก็พยายามอย่างเต็มที่นะครับ ที่จะรักษาความสงบเรียบร้อย รักษาความปลอดภัย ชีวิตและทรัพย์สินของทุกคนนะครับ มาตรการต่างๆ จะเห็นว่าจาก เบาไปหาหนัก ผ่อนหนักผ่อนเบา มีการพูดคุย ไม่ให้บานปลาย ไม่ให้มีการปะทะ คุยแล้วคุยอีก ก็ไม่สำเร็จสักที แล้วก็มีการต่อต้านที่ไม่ชอบธรรม ไม่ถูกต้องตามกฎหมาย

ก็ขอให้กระบวนการยุติธรรมตัดสินนะครับ ให้เจ้าหน้าที่เขาทำงานก็ไม่อยากให้ภาพต่างๆ เหล่านี้ออกไปต่างประเทศ สื่อทุกคนก็เห็นนี่นะครับว่าอะไรคือถูก อะไรคือผิดแต่ก็พยายามที่จะขยายภาพ ขยายข่าว ขยายอะไรไปเรื่อย ๆ ท่านคำนึงหรือไม่ครับว่าต่างประเทศเขามองว่ายังไง เขาก็มองกลายเป็นว่าเหมือนเราไปรังแกพระ รังแกพระพุทธศาสนา แล้วเกิดอะไรขึ้น ดีกับประเทศไทยไหม ผมอยากจะถามท่าน  ก็เหมือนทุกครั้งท่านไม่คำนึงเลยว่าจะเกิดผลอะไรในอนาคต เพราะท่านไม่ต้องรับผิดชอบ รัฐบาล เจ้าหน้าที่รับผิดชอบ คิดอยู่แค่นี้  เพราะฉะนั้นต้องทบทวนนะครับว่าอะไรคือปัญหา แล้ววันนี้เขาทำอะไรกันอยู่ อย่าทำแต่เพียงหาข่าว ให้ข่าวขยายข่าวแต่เพียงอย่างเดียว ขอให้ชักจูงซิครับให้คนกลับบ้าน ให้มามอบตัว ต่อสู้คดี นั่นแหละเป็นวิธีการที่ถูกต้องที่สุด สื่อต้องช่วยแบบนี้นี่เขาเรียกว่าจรรยาบรรณไง ไม่ต้องควบคุมกันถ้าแบบนี้ล่ะก็ไม่ต้องใช้มาตร 44 ไม่ต้องมีกฎหมายควบคุมสื่อด้วยซ้ำไป ทำให้ได้ซิครับ

ผมอยากให้สติแก่สังคมในวันนี้นะครับ ให้มีความอดทน อดกลั้นอย่างที่สุด เอาอะไรมาเป็นหลักคิด หลักธรรม หลักปฏิบัติ ให้ได้ ใช้สติปัญญาในการแก้ไขปัญหา ผมไม่อยากใช้มาตรการที่หนักหรือรุนแรง ใช้กฎหมายอย่างเต็มที่ วันนี้กำลังใช้กฎหมายปกติอยู่ด้วยนะครับ กฎหมายมาตรา 44 ตีกรอบเฉยๆน่ะแหละ แต่วันนี้เจ้าหน้าที่ถูกกระทำมากไปเรื่อย ๆนะครับ การที่รุนแรงต่อเจ้าหน้าที่ ถูกผลัก ถูกดัน แล้วก็กลายเป็นว่ารังแกพระ รังแกประชาชน ก็ดีเหมือนกันนะ แปลกดีไม่เข้าใจว่าโซเชียลมีเดีย สื่อหลายฉบับพาดพิงโจมตีผม หาผมไปเปลี่ยนศาสนาโน่น จะยึดที่นี่ไปศาสนาโน้นศาสนานี้คิดได้ยังไง เพราะฉะนั้นถ้ามีคนเชื่อผมก็จนใจนะ คนที่จะเชื่อเรื่องแบบนี้ คนเขียนนี่สติไม่มีอยู่แล้ว ขอโทษนะ ผมไม่อยากจะว่าเขียนอะไรก็ได้ให้คนปั่นป่วน ให้คนทะเลาะเบาะแว้งกันไปเรื่องไม่รับผิดชอบสักอย่างนะ เพราะฉะนั้นผมอยากให้ทุกคนพยายามเข้าใจในกฎหมายและก็ให้กำลังใจเจ้าหน้าที่เขาทำงานด้วย เขาได้กลับบ้านไปดูแลลูกเมียเขา รถก็ไม่ติด ทุกคนก็ไม่อันตราย แล้วก็ประชาคมโลกเขาก็เข้าใจเรา

วันนี้ผมก็พยายามสื่อสารไปต่างประเทศด้วยนะครับ ผ่านกระทรวงต่างประเทศ ว่ามันเกิดอะไรขึ้นในประเทศไทย ซึ่งก็ได้รับการตอบรับที่ดีพอสมควร  แต่ขณะเดียวกันก็มีคนไม่ดีอยู่ที่พยายามปล่อยข่าวความไม่ดี ความไม่เรียบร้อย การทำงานของรัฐบาลอะไรต่าง ๆ ก็ท่านก็ทราบอยู่แล้วว่าใคร  ไม่เลิกซะที  รอบบ้านก็ไปทำ ต่างประเทศก็ไปทำ ล๊อบบี้ยิสต์ก็ใช้  เหล่านี้นะ ทุกคนก็ทราบดีทั้งหมดแต่ทำไมถึงยอมรับฟังกันอยู่ สื่อก็ไปขยายความให้อยู่ทุกวัน เหมือนกับทุกเรื่องเป็นเรื่องสนุก บ้านเมืองไม่ใช่เรื่องสนุกนะครับ ไม่ใช่ว่าใครผิดใครถูก ใครชนะ ใครแพ้ สับสนไปหมด เพราะฉะนั้นไม่อยากให้เสนอข่าวเหมือนกับเชียร์มวยเชียร์กีฬา วันนี้ใครแพ้ ใครชนะนะครับ ไม่มีใครแพ้หรอกครับ แล้วก็ไม่มีใครชนะด้วย  ประเทศแพ้ ประชาชนก็เดือดร้อนทุกคนต้องมีสติ ใช้สติปัญญาแยกแยะให้ออกนะครับอย่าให้เสียภาพลักษณ์ของประเทศ เสียความน่าเชื่อถือในเวทีระหว่างประเทศ   

สื่อออนไลน์ก็เหมือนกัน ท่านอาจจะคิดว่าจับไม่ได้ไม่มีใครตามได้ วันหน้าก็ตามได้เองนะมันมีกฎหมายอยู่แล้ว   วันนี้จับไม่ได้วันหน้าก็จับได้ ผมไม่ได้ขู่เพราะฉะนั้นวันหน้าอย่ามาปฏิเสธว่าไม่ได้ทำ หลักฐานมีทุกอันนะ เพราะฉะนั้นเราควรจะไม่สร้างความแตกแยก เพื่อให้สอดคล้องกับการที่เราจะต้องปรองดอง สมานฉันท์ ภายในช่วงระยะเวลานี้ด้วยนะครับ

ในส่วนของพฤติกรรมบ่อนทำลายต่าง ๆ ทั้งในประเทศ นอกประเทศของคนบางคน บางกลุ่มนั้น บางทีอาจจะทำด้วยเจตนาไม่เจตนา รู้เท่าไม่ถึงการณ์ คึกคะนอง ผมอยากให้เรื่องเหล่านี้มันจบเร็วที่สุดนะครับ ก็ขอให้ทุกอย่างไปสู่การแก้ปัญหาที่ถูกต้องตามทำนองคลองธรรม ตามกฎหมายปรกติ และความเชื่อมั่นศรัทธาในพระพุทธศาสนาก็ยังคงมีเหมือนเดิม เราต้องสร้างให้ได้เพราะประเทศไทยเราเป็นประเทศพุทธนะครับ แล้วก็มีศาสนาอื่นร่วมด้วย ทุกศาสนาสอนให้คนเป็นคนดีทั้งสิ้นอย่ามาตีกัน

ในเรื่องของการปรองดองนั้น คณะกรรมการป.ย.ป. ดำเนินการอยู่นะครับ วันนี้ก็มีหลายคนออกมาพูดจาให้เสียหาย  ไม่ได้ผลหรอกนะครับ นักโทษบางคนได้รับการประกันตัวออกมาก็มาข่มขู่ว่า “...ใน 3 เดือนต้องเห็นผลนะถ้าไม่เห็นผลจะเกิดการเปลี่ยนแปลง”  ทำไม ท่านจะปลุกระดมคนมาอีกหรือทำให้คนเขาตายเขาเจ็บไปเท่าไหร่แล้ว ตอนนี้จะทำอีกหรือ แล้วใครจะออกมาให้เขาหรืออีกพวกก็บอกว่าต้องรีบเลือกตั้งให้ได้ภายในเดือนสิงหาคม ไม่อย่างนั้นก็จะเคลื่อนไหวอีก  เป็นนิสิต นักศึกษา  ผมถามนี่มันเกิดอะไรขึ้น ญาติพี่น้องท่าน เจ็บตายบ้างหรือยังล่ะ  ถ้าเป็นญาติพี่น้องท่าน เจ็บ ตาย สูญเสีย ท่านจะพูดแบบนี้ไหม ฉะนั้นผมก็ไม่อยากให้ความสำคัญกับคนเหล่านี้มากนักหรอกครับ  เป็นคนส่วนน้อย และเป็นความเห็นที่ไม่สร้างสรรค์สังคม คนไทยทั้งประเทศตัดสินเอาเองนะครับจะยอมไหม จะยอมให้เรื่องแบบนั้นเกิดขึ้นอีกหรือเปล่า  ที่ผมพูดนี่อยากให้มีสติ ใช้เหตุผลนำความคิดนะครับเกรงว่ามันจะทำลาย “บรรยากาศการปรองดอง” ของประเทศ ประชาชน“ทั้งประเทศ”คงไม่อยากให้เหตุการณ์ปี 53 และปี 57 เกิดขึ้นอีกนะครับอย่างแน่นอน

ทำไมไม่รู้เหมือนกันว่าคนเหล่านี้ยังมี “ที่ยืน” อยู่ในสังคมได้อีกต่อไป นะครับ มีเงินใช้ มีหน้ามีตามีคนเคารพนับถือทั้งที่มีความผิดมากมายและไม่ยอมรับความผิด พูดจาโกหก บิดเบือนทุกวันอยู่นี่  สื่อก็ไปสัมภาษณ์อยู่ทุกวัน ๆ แพร่ภาพ และคำพูดให้ประชาชนสับสนไปหมด  ทำลายความสงบสุข ทำลายชื่อเสียงประเทศชาติ  หลายคนมีคดีแล้วตัดสินแล้วประกันตัว อาจยังไม่ตัดสินก็ออกมาพูดจาโวยวาย  แต่คดีใดที่ตัวเองถูกยกฟ้องหรือไม่ถูกลงโทษ โอ๊ยดีใจ นะ  ไม่เห็นพูดเลยว่ากฎหมายยุติธรรม แต่คดีใดที่ตัวเองผิด บอกไม่ยุติธรรมสองมาตรฐาน ตัวเองแหละครับสองมาตรฐาน ไม่ยอมรับกระบวนการยุติธรรมที่ถูกต้องนะ  อย่าสร้างความเกลียดชังด้วยคำพูดกันอีกเลยนะครับ  น่าจะพอได้แล้วอย่าไปขยายความให้เขา “เอาใจเขามาใส่ใจเรา” บ้างนึกถึง “คนที่สูญเสีย” บ้างว่าถ้าเป็นญาติพี่น้องของตัวเองจะรู้สึกอย่างไรนะครับ   ขอให้ช่วยกันรักษาบรรยากาศที่ดีของบ้านเมือง เดินหน้าไปสู่ความปรองดองทุกเรื่อง  โดยเฉพาะในส่วนที่จะต้องเป็นกติกานะครับ อย่าไปคิดเฉพาะที่ “ได้ประโยชน์” พอ“เสียประโยชน์” แล้วไม่ได้ เพราะฉะนั้นต้องมีทั้งได้ประโยชน์และเสียประโยชน์ไปด้วยกัน เพราะว่ามันกำลังปฏิรูปกันอยู่ นะครับ

เรื่องเศรษฐกิจฐานราก สำคัญคือด้านเกษตรกรรม, การบริหารจัดการน้ำ, อาชีพอิสระ, SMEs,  Start-up เหล่านี้ต้องดูแลทั้งหมดนะครับ  ผมเห็นการเสนอข่าวในโทรทัศน์หลายช่องสื่อหนังสือพิมพ์ดี ๆ หลายฉบับทั้งหน้าในส่วนใหญ่เป็นหน้าในๆนะก็อ่านซะหน่อย  ก็มีรายงานความก้าวหน้า, การพัฒนาตนเองให้มีรายได้ดีขึ้น จากคำแนะนำของเจ้าหน้าที่รัฐบ้าง, ของปราชญ์ชาวบ้านบ้าง ของเกษตรกรที่จบปริญญาความรู้สูงๆ เขาก็กลับมาทำการเกษตร เป็น Smart Farmer หรือผู้นำท้องถิ่นทางธรรมชาติมีอยู่มากมาย เขาทำหมดแล้ว ทดลองทำ ลองผิดลองถูก ปรับปรุงแก้ไขแล้วเป็นสูตรสำเร็จแล้ว  ก็ไปเอาเขามาดูเป็นตัวอย่างสิครับ มันสำเร็จไปแล้ว มีรายได้ที่เพียงพอเพิ่มขึ้นไม่รู้กี่สิบเท่ากี่ร้อยเท่า   โดยเฉพาะอย่างยิ่งการปฏิบัติตาม “ศาสตร์พระราชา” แต่มันก็มีคนอีกจำนวนหนึ่งไม่น้อยเลยนะครับที่ไม่สนใจ ไม่เปลี่ยนแปลง ยังเชื่อฟังคำพูดที่ชักจูงว่าเออวันหน้าเดี๋ยวรัฐบาลจะเข้ามาอย่างนี้อย่างนั้น  แล้วก็จะแก้ไขจะให้สตางค์ให้เงินอย่าไปเปลี่ยนแปลงเลย ลำบากเปล่า ๆ    ยังมีอย่างนี้อยู่อีก แล้วผมถามว่าที่ผ่านมากี่สิบกี่ร้อยปีแล้วมันพัฒนาได้ไหม  หนี้สินหมดหรือยังก็ยังไม่หมด เพราะฉะนั้นไม่อยากไปคิดแล้วไปทำแบบเดิม ๆ นะครับ  ถ้าอ้างว่าไม่มีความรู้ทำไม่เป็น ไม่เคยทำทำแบบเดิมๆ ก็ไปถามเจ้าหน้าที่เขา ถามพ่อแม่พี่น้องที่อยู่ในพื้นที่ตัวเองที่เขาทำสำเร็จนะ อย่ามารอเรียกร้องความช่วยเหลือของรัฐเมื่อเสียหายเลย คือปลูกแบบเดิมก็เสียหายแบบเดิม แล้วก็เรียกร้องจากรัฐแบบเดิม มันก็วนอยู่แค่นั้นแหละ แล้วหนี้สินก็อยู่ที่เดิมลองปรับเปลี่ยนดูบ้างนะครับ อย่าไปฟังคนนักการเมืองใด ๆ ที่ไม่ดี คนดี ๆเยอะแยะไปฟังคนดีๆเขาพูดโน่น อย่าไปฟังที่เขาพูดเพื่อหวังผลทางการเมืองต่อไปเลยนะครับ

ที่ผ่านมาอยากจะรู้ว่าที่พูด ๆมาแล้วทั้งหมด  นักการเมืองที่ไม่ดีอันไหนดีดีผมไม่ไปแตะต้องท่าน ที่ไม่ดีก่อนปีพ.ศ. 2557 ท่านทำอะไรสำเร็จมาบ้างที่มันไม่เสียหาย ที่มันสร้างความเข้มแข็ง ที่มันเพิ่มประสิทธิภาพประเทศนะมีไหม 

วันนี้โลกเปลี่ยนแปลงไปมากแล้วนะครับ ทั้งเทคโนโลยีสิ่งแวดล้อม อากาศ น้ำมีความเปลี่ยนแปลงทุกมิติ เราต้องเปลี่ยนแปลงความคิดของเราด้วย ถ้าเราหวังจะเปลี่ยนแปลงวันข้างหน้า   ถ้าวันนี้ไม่เปลี่ยนไปเปลี่ยนวันหน้ารอก่อนเดี๋ยววันหน้าค่อยทำ  ไม่ทันกาลหรอกครับ  ไม่ทันเวลาคนอื่นเขารวยไปแล้ว คนอื่นเขาหมดหนี้ไปแล้ว ท่านก็ยังมีหนี้สินล้นพ้นตัว  ลูกหลานทำไง ไม่มีที่ทำกิน รัฐบาลหน้ามาไม่มีให้แล้วเพราะที่ดินก็หมดไปแล้ว  ทุกคนจะต้องพัฒนาตนเองนะครับ อย่าให้มันถึงกับสูญเสียที่ดินทำกินของตัวเองไปเลย หนี้สินล้นพ้นตัว  แก้ไขอะไรไม่ได้แล้วจะทำยังไง  รัฐบาลนี้พยายามทำทุกอย่างเอาทุกปัญหามาจะเห็นว่ามันเยอะมาก  ตอนแรกก็กะว่าจะเอาเรื่องสำคัญทำก่อน  ปรากฎว่าทำไปทำมามันสำคัญทุกอันเลย   เพราะมันพันกันทั้งหมดไง  ก็เพียงแต่ว่าขอร้องก็แล้วกัน ขอให้เชื่อฟัง ปรับตัว อาศัยเวลานะครับ  ต้องอดทนกันหน่อยเพราะเราอดทนมานานแล้วเป็นสิบๆปีมาแล้ว  เพราะฉะนั้นคำพูดต่างๆที่เหมือน “เลี้ยงไข้” ไม่จริงใจอย่าไปเชื่อมากนักอย่าไปคล้อยเพราะที่ผ่านมาก็อยู่ในอำนาจกันทั้งสิ้น  ทำอะไรให้เกิดการเปลี่ยนแปลงกันบ้างหรือเปล่า ส่วนที่ดีก็มีเยอะส่วนไม่ดีก็เยอะ ฉะนั้นก็พยายามลดลงให้เหลือแต่ส่วนที่ดีแล้วกัน

เราต้องส่งเสริมให้เข้มแข็งทุกระดับ สนับสนุนอย่างใดอย่างหนึ่งไม่ได้หรอกครับ  เพราะคนมันมีหลายประเภทด้วยกัน  หลายอาชีพด้วยกันต้องมีการพัฒนาตนเองเข้มแข็งมีขีดความสามารถโดยเฉพาะอย่างยิ่งประชาชนอย่าไปรอเงินช่วยเหลือ บางครั้งนี่กฎหมายก็ไม่ให้นะครับ ให้ไม่ได้แต่ไปให้กันมันก็ผิดกฎหมายไง เพราะฉะนั้นอย่าไปแก้ปัญหาแบบ “ขายผ้าเอาหน้ารอด” ปัญหายังอยู่ที่เดิม  งบประมาณไม่คุ้มค่าประชาชนได้ประโยชน์บางกลุ่ม งบประมาณมหาศาลนะครับ มีการทุจริต เหล่านี้ผมเพียงยกตัวอย่างให้ฟังนะครับ ผมต้องการให้ทุกคนตระหนักว่าไม่ว่าจะรัฐบาลนี้ รัฐบาลไหนก็จะต้องเป็น “รัฐบาลของคนไทยทั้งประเทศ” ไม่ใช่เป็นรัฐบาลของ“ฐานเสียง”หรือรัฐบาลของ“คนที่ลงคะแนนให้” เท่านั้น  รัฐบาลวันนี้กำลังแก้ปัญหาทุกอย่างหมด มันจะได้มากได้น้อยก็ต้องทำกันต่อไปนะ

เรื่องหนี้นอกระบบผมเห็นพูดกันมาหลายรัฐบาลแล้ว มีรัฐบาลนี้จะทำให้มันจริงจังขึ้น ผลที่ออกมาขณะนี้ก็มีมติในครม.ออกมาแล้วนะครับ ก็ต้องมีวิธีการแก้ปัญหาที่มันถูกต้องตามระบบการเงินการคลัง ตามกฎหมายนะ ก็ขอให้ติดตามนะครับอันนี้ก็ที่ผ่านมาไม่เห็นมีใครทำนี่ครับ วันนี้ก็ยังติติงอยู่เลยเหมือนพร้อมเพย์เหมือนขึ้นบัญชี วันนี้หายไปไหนแล้วล่ะที่มาติติงอยู่น่ะ พอทำสำเร็จแล้วก็เงียบคือคนพวกนี้น่าเป็นห่วง ประเทศชาติถ้ามีคนพวกนี้อยู่เยอะๆ น่าเป็นห่วง ฉะนั้นรัฐบาลนี้วันนี้ได้มีการตั้งคณะกรรมการ “ประชารัฐ” ทั้ง 12 คณะ ผมพูดไปหลายครั้งแล้วเพื่อจะสร้างประสิทธิภาพในการทำงานภาครัฐ รัฐทำคนเดียวไม่ได้ต้องเชื่อมโยง ภาคประชาชนเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย  ไม่ใช่รัฐบาลจะไปเอื้อประโยชน์ให้กับใครเหล่านั้น  วันนี้ก็ทำทุกอย่างเราต้องไปแก้ไขใน “วงจรธุรกิจ”  ซึ่งมันก็เหมือน “วัฏจักรทางธรรมชาติ” นะครับ มันมีสัตว์เล็กสัตว์ใหญ่พึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกัน พืชพรรณนานาชนิดพึ่งพาอาศัยกันมันอยู่อย่างใดอย่างหนึ่งไม่ได้ มันเสียสมดุล  วันนี้นักธุรกิจเหล่านั้นเขาก็มีเจตนาดีมาช่วย “ตั้งใข่” เรียกได้ว่าตั้งไข่ให้กับให้บริษัทประชารัฐรักสามัคคีจำกัด ธุรกิจเขาคือธุรกิจของเขาถ้าถูกกฎหมายก็คือถูกกฎหมายผิดกฎหมายก็ไม่ได้ เพราะฉะนั้นเขาก็มาตั้งไข่ให้เราในภาคประชาชนใน“ทุกจังหวัด”ให้เข้ามามีส่วนร่วมในการบริหารพัฒนาความรู้  ให้เงินทุนดูแลการศึกษา ฝึกสอนการทำบัญชีเหล่านี้เขาก็มาช่วยอยู่ในส่วนราชการต่าง ๆทั้งสิ้น  12 คณะ ตั้งหลายสิบบริษัท เราต้องการสร้างความยั่งยืนนะครับ

อีกเรื่องหนึ่งคือการจัดทำโครงการใดๆ ก็ตามของรัฐบาลที่อนุมัติโดยครม.นั้น เราจำเป็นต้องคิดให้ครบวงจรนะครับ ต้องทำแผนอย่างมียุทธศาสตร์ว่าสอดคล้องกับยุทธศาสตร์ไหน  เราจะพัฒนาประเทศไปอย่างไร 5 ปี 10 ปี 15 ปี 20 ปี  เพราะฉะนั้นโครงการเหล่านั้นมันต้องสอดคล้องอย่างนั้น และให้เกิดการบูรณาการและต่อเนื่อง  ถึงจะแก้ปัญหาได้อย่างยั่งยืน  อาทิเช่น “การแก้ไขปัญหาน้ำแล้ง น้ำท่วมภาคใต้ก็เห็นอยู่แล้วถ้าเราแก้ไม่ได้ การระบายน้ำไม่ได้ เครื่องกีดขวางยังขวางทางน้ำอยู่ บ้านเรือนบ้านจัดสรรสถานที่อะไรต่างๆขวางไว้ทั้งหมด แล้วจะแก้ได้ไหม เพราะฉะนั้นวันนี้ผมได้สั่งการไปนะครับจำเป็นต้องแก้ไขให้เป็นรูปธรรม อาจจะต้องมีคนเดือดร้อนบ้าง แต่เดือดร้อนรัฐบาลก็ต้องดูแลก็ขอให้อย่าดื้อ ถ้าดื้ออีกปีหน้าก็โดนอีกแล้วเราจะต้องเสียเงินไปอีกเท่าไหร่ ท่านจะต้องเดือดร้อนไปอีกเท่าไหร่ หารือกัน ปรึกษากันนะครับ โดยเฉพาะอย่างยิ่งภาคใต้ที่มันเกิดขึ้นเมื่อเร็วๆ นี้ ขอบคุณประชาชนทุกคนนะครับที่มีส่วนร่วมในการสละเงินบริจาคช่วยเหลือผู้ได้รับผลกระทบภาคใต้นะครับ วันนี้มียอดรวมประมาณสัก 700 กว่าล้านก็เอาไปทำเรื่องซ่อมบ้าน เป็นหลักไปก่อน ที่เหลือเดี๋ยวก็ค่อย ๆทยอยไปในกิจกรรมอื่น ๆ นอกนั้นก็เป็นงบประมาณของรัฐอยู่แล้วนะครับ

เรื่องการแก้ไขปัญหาน้ำท่วม ฝนแล้ง มันจะต้องแก้ทั้งระบบแก้ทั้งวงจร อันแรกคือ “ต้นทาง” แก้ไขการบุกรุกพื้นที่ป่าต้นน้ำ ป่าอนุรักษ์ในส่วนที่ผิดกฎหมายที่จะต้องดำเนินการตามกระบวนการยุติธรรม บางส่วนก็จะต้องนำมาจัดสรรเป็นที่ดินทำกินในส่วนที่เป็นป่าเสื่อมโทรมไปแล้วให้กับเกษตรกร แต่ไม่ให้เป็นเจ้าของให้ทำกินเฉย ๆ สำหรับผู้มีรายได้น้อยให้ใช้ประโยชน์จากป่าและอนุรักษ์ป่าและก็ปลูกป่าไปด้วย ป่าชุมชน ป่าเศรษฐกิจทำไป

อันที่ 2 “ตรงกลางทาง” คือการบริหารจัดการลุ่มน้ำทั่วประเทศ 25 ลุ่มน้ำทั้งหมด ทั้งในระบบชลประทาน รอบระบบชลประทาน,  แม่น้ำ ลำคลองสาขารวมทั้งการขุดลอกคูคลอง การกำจัดผักตบชวา ซึ่งยังไม่สำเร็จ 100% สำเร็จไปมากแต่ไม่ 100% เพราะประชาชนไม่ช่วยกันไง ทุกคนต้องช่วยกันคนละต้นก็หมดไปแล้ว 70 ล้านคน 70 ล้านต้น เก็บทุกวันทุกวันเดียวมันก็หมด สูญพันธุ์ไปจากประเทศไทยเลย ช่วยกันให้ผมหน่อยนะไม่อย่างนั้นไม่ก็เสียเงินเสียทองมากมาย เดียวก็ไปโทษว่าทุจริตอีก แล้วก็อีกอันคือการป้องกันการพังทลายหน้าดิน ใช้ “หญ้าแฝก” ปลูกแฝกหญ้าธรรมดาก็ช่วยได้ในบางที ในที่มันไม่ใช่ลาดชันมากๆก็ปลูกหญ้าเอาไว้ อย่างน้อยหญ้าก็คลุมดินพืชอื่นที่คลุมดินก็เยอแยะไป “ศาสตร์พระราชา” มีอยู่แล้ว พระราชทานไว้นะครับ

“เรื่องปลายทาง” อันนี้ประเด็นสำคัญ ต้องจัดหาแหล่งน้ำเพื่อการเกษตรกรรม เพื่ออุปโภคบริโภค ป้องกันภัยแล้ง เราต้องทำทั้งแก้มลิง ขนมครกให้กระจายทั่วทุกพื้นที่ ส่วนใหญ่จะมีปัญหานอกเขตชลประทาน ในชลประทานถ้ามีน้ำทำได้เพราะมีระบบส่งน้ำแต่ถ้านอกเขตชลประทานคราวนี้ล่ะเดือดร้อน เพราะว่าไม่มีแหล่งเก็บน้ำเราต้องทำเพิ่มขึ้น ทำเสร็จแล้วก็ต้องทำระบบกระจายน้ำเข้าไปอีก ขุดทาง คูคลองส่งน้ำให้มันถึงทั่วทุกพื้นที่ถึงหมู่บ้าน “หัวไร่ปลายนา”  มันอาจจะต้องมีการขุดของตัวเองบ้าง ตามบ้านคน บ้านเกษตรกรต้องมีสระน้ำของตัวเอง เพราะว่าอยู่นอกเขตชลประทานเก็บกักน้ำฝนไว้ให้เยอะๆไม่อย่างนั้นระบายน้ำทิ้งหมด ต้องเชื่อมโยงกันทั้งหมด เรากำลังทำทุกอย่างในการแก้ปัญหาเป็นชิ้น ๆก็มีปัญหาเชิงโครงสร้างก็มี ปัญหาที่ต้องบูรณาการก็มี ใช้ทั้งทรัพยากรฯ งบประมาณจำนวนมาก ใช้เวลาอีกเยอะแยะถ้าทำกันบ้างแล้วมันก็ไม่ลำบากอย่างนี้หรอกนะครับ เพราะฉะนั้นเราจะไม่ทำอีกหรือ เราจะไม่ช่วยกันทำวันนี้แล้วจะไปลำบากอีก 10 หรือ 20 ปีต่อไป ผมก็จนใจนะเพราะฉะนั้นช่วง 2 ปีนี้ เราพยายามทำอย่างเต็มที่นะครับ

“เรื่องรถไฟฟ้า” จำเป็นต้องยกตัวอย่างนะครับก็เหมือนกันผมสอบถามแล้วล่ะ จะมีการจัดทำแผนแม่บทไปจัดลำดับความเร่งด่วนไปแล้วว่าจะทำสายไหนก่อน เส้นนี้ก่อน เส้นนั้นก่อนเพื่อจะให้มันสมบูรณ์แล้วเส้นนี้ต่อขยาย ปรากฏว่าไปเอาเส้นที่มันควรจะทำทีหลังมาทำก่อน แปลกดีเหมือนกันนะมันอาจจะมีผลประโยชน์ตรงไหนผมไม่ทราบ เหมือนกับรถไฟฟ้าสายสีม่วง สายสีน้ำเงินนี้แหละที่มี “ช่องว่าง 1 กิโลเมตร” จริง ๆแล้วผมถามแล้วว่ามันควรจะทำสายสีน้ำเงินก่อนทั้งส่วน 1 กิโลเมตรและส่วนต่อขยายที่ว่ากันในวันนี้ มันต้องทำเส้นนี้ก่อนถึงจะไปทำสายสีม่วงต่อทีหลัง แต่ไม่เข้าใจว่าทำไมต้องไปทำสายสีม่วงขึ้นมาก่อนแล้วมันก็เว้นช่องไว้ 1 กิโลเมตร แล้วก็ต้องไปหาทางทำ 1 กิโลเมตรในส่วนต่อขยายนี้ให้ได้ ผมก็เหนื่อยใจกับเรื่องพวกนี้จริงๆ สร้างปัญหาให้กับประชาชนในการเดินทางนะครับ

รัฐบาลนี้แก้ทุกอย่างก็ขอให้ไว้ใจกัน อย่าหาว่าไปเอื้อประโยชน์คนนั้นคนนี้เลย ถ้าไม่ทำแบบที่ผมทำมันก็ไม่ได้อยู่ดี วันหน้าก็ไม่ได้ วันโน้นก็ไม่ได้แล้วมันก็ลำบาก แล้วก็โวยวายกันอยู่ทุกวันนี้ ผมก็ต้องแก้ปัญหาให้ท่านให้ได้ ฉะนั้นทุกอย่างมันจะต้องชัดเจนขึ้น โครงการรถไฟฟ้าสายอื่น ๆผมก็พยายามจะทำให้ดีที่สุดนะ เร่งรัดดำเนินการให้ได้โดยเร็ว ปัญหามันมีเยอะแยะไปหมด อุปสรรค ทำแบบที่ผมทำดูมันยาก เข้าไปยุ่งมาก ๆก็เลยยาก ถ้าปล่อยๆ ไปมันเสร็จเองแหละ ซึ่งมันก็ไม่ดีนะผมปล่อยไม่ได้

การจราจรที่ติดขัดมาก การก่อสร้างวันนี้มีปัญหาเพราะว่ามันสร้างหลายสายแล้วถ้าไม่สร้างได้ไหมล่ะ มันก็ต้องสร้างแต่จะต้องช่วยกันอย่างไรล่ะ มันทำความเดือดร้อน ต้องอดทนเราจะได้มีระบบขนส่งที่สมบูรณ์ การจราจรในเขตเมืองก็จะดีขึ้น ไม่อย่างนั้นรถไฟก็ต้องสร้าง รถไฟฟ้าก็ทำ รถเมล์ก็ต้องทำใหม่ อุโมงค์ก็ต้องทำ สะพานข้ามแยกก็ต้องทำ สิ่งเหล่านี้ไม่ได้ทำมาเป็นรูปธรรมมามากนัก มันก็เลยเกินปัญหาประดังประเดมาเวลานี้นะ เพราะฉะนั้นก็ขอให้ทุกคนใจเย็นให้อภัยมีน้ำใจใช้รถใช้ถนนอย่างถูกกฎหมาย ทำให้เป็น “สยามเมืองยิ้ม” อดทนบ้างนะครับ

ในเรื่องเศรษฐกิจอยากให้ดูตัวเลขสภาพัฒน์ด้วยนะครับ ทั้งโลกเขาใช้ตัวเลขเหล่านี้มาพิจารณามาอ้างอิงกัน อย่ามามองว่ารัฐบาลดูแต่ตัวเลขแบบนี้ เท่านี้ไม่ใช่ดูทั้งของจริง ข้อเท็จจริงของประชาชนด้วยในทุกระดับ เพราะฉะนั้น GDP ในปี 60 นี้คาดว่าจะขยายตัวเพิ่มขึ้น 3.0 ถึง 4.0 ก็นับว่าเป็นสิ่งที่ดีอย่าเพิ่งไปดูถูกกันเลย ถ้ามันดีขึ้นก็ดีไง จะมาดูถูกให้มันต่ำกว่านี้ทำไมล่ะ ปี59 มันก็ดีขึ้นไง 3.2 มันก็ดีกว่าปีก่อน 2.8 มันไม่ดีขึ้นหรอครับ ในเมื่อตัวเลขข้างบนมันดี ข้างล่างมันก็มีผลกระทบมาถึงข้างล่างด้วย แต่มันจะถึงทุกคนหรือเปล่า มันก็ต้องมีอย่างอื่นมาเสริมด้วย ต้องคิดให้มันมีระบบแบบนี้ อย่าไปฟังคนที่พูดบิดเบือนอยู่ทุกวันนี้

เราไม่เคยละเลยเศรษฐกิจระบบฐานราก วันนี้ผมก็คิดถึงคนขายของริมถนนจะทำอย่างไรจะจัดระเบียบเขาได้ยังไงที่เขาไม่เดือดร้อน ส่วนคนบริโภคคนกินอาหารจะทำยังไง เพราะว่าต้องพึ่งพาอาศัยกันและกันมานะครับ แต่ทำอย่างไรถึงจะเป็นระเบียบ ถ้าท่านร่วมมือกัน มันก็พอจะอยู่ร่วมกันได้ แต่ถ้าไม่ร่วมมือกันเลยมันก็ไปกันหมด กฎหมายมันก็คือกฎหมายนั้นแหละ เพราะฉะนั้นก็ขอให้ทราบถึงความห่วงใย จากการทำงานของรัฐบาลมาตรการต่างๆ คิดทุกอันนะครับ คิดให้ละเอียดยิบเลยทุกเรื่อง ถึงยากยังไงถ้าคิดง่ายๆก็ไม่ยาก สั่งลงไปโครมๆก็เสร็จแต่เสร็จแบบมีปัญหาหมด เราต้องเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ สร้างความเข้มแข็ง พัฒนาความรู้ ฝีมือแรงงาน มาตรฐานแรง สร้างเครือข่ายเชื่อมโยงระบบเศรษฐกิจบน กลาง ล่างนะครับ เข้าด้วยกันให้ได้

เพราะฉะนั้นมันถึงจะไปด้วยกันได้ ลดหนี้ประชาชน SMEs เข้มแข็ง แก้ไขหนี้นอกระบบ พัฒนาเขตเศรษฐกิจพิเศษ การลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน การลงทุนภาครัฐ มียุทธศาสตร์ต่อเนื่องเชื่อมโยง ไม่ทำแบบปะผุ ปะตรงนี้แล้วก็ผุตรงโน้นอีก วันหน้าก็จะเป็นอยู่แบบนี้ เพราะอย่างนั้น วันนี้ต้องทำทุกอย่างเพื่อสร้างความมั่นใจให้กับทั้งในประเทศและต่างประเทศนะครับ เราต้องเชื่อมั่นกันเองซะก่อน ถ้าเรามัวแต่พูดกันไปกันมาว่ากันเอง แล้วความมั่นใจมันจะเกิดไหมล่ะครับ คนใช้เงินมันก็ไม่กล้าใช้ คนลงทุนก็ไม่กล้ามาลงทุน เศรษฐกิจก็ไม่เจริญเติบโต แล้วท่านจะได้อะไรนอกจากคำพูดของคนที่เขาพูดบิดเบือนอยู่นั้นแหละ แล้วไม่ได้สร้างสรรค์อะไรให้ประเทศชาติเลย เตือนตัวเองเสมอนะครับ ว่าเราจะต้องทำให้สำเร็จ ด้วยศรัทธรา ด้วยความร่วมมือ ทุกคนทุกธุรกิจนั้นมันมีหน้าที่มีความสำคัญในวงจรเศรษฐกิจทั้งสิ้น โอกาสมีทุกคนนะครับ ขยันขันแข็ง พัฒนาตนเองเสมอ อยู่เฉยๆ เรียกร้องอย่างเดียวโอกาสมันก็เลยผ่านไป โอกาสก็หมดไปนะ

เรื่องที่ 5. เรื่องการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาตินะครับ วันนี้มีคณะกรรมการอยู่แล้วถือเป็น “วาระแห่งชาติ” ด้วยนะครับ ทำมาต่อเนื่อง วันนี้ก็มีปัญหาอีกมากมายยิ่งทำก็ยิ่งเจอ ยิ่งทำก็ยิ่งพบ แต่ไม่ใช่ว่าพบการทุจริตเยอะขึ้นอะไรทำนองนี้นะ เพียงแต่พบว่าระบบยังมีปัญหาอยู่ การตรวจสอบทุจริตนั้นตรวจสอบไป เจอก็จับเจอก็ลงโทษ ถ้าทำไม่ได้ก็ทำต่อไปมันไม่มีอะไรที่ทำได้เร็ว จนวันนี้พรุ่งนี้หรอกครับ ต้องใช้หลายๆกลไกด้วยกัน แต่สิ่งสำคัญที่สุดก็คือระบบ วันนี้ผมก็มาคิดดูปรึกษากับท่านรองนายกรัฐมนตรีและก็ฝ่ายกฎหมายดูว่าจะทำยังไงให้ระบบดีขึ้นสามารถที่จะตรวจสอบได้ สามารถที่จะป้องกันการทุจริตได้ ในการทำโครงการต่างๆของรัฐบาล เราก็มี ป.ย.ป. อยู่แล้วล่ะแล้วก็มี บยศ. (คณะกรรมการบริหารราชการแผ่นดินเชิงยุทธศาสตร์) คือบริหารราชการแผ่นดินเชิงยุทธศาสตร์ที่มันขับเคลื่อนที่มันติดขัด แล้วก็ผลักดันกฎหมายเชิงรุกเราก็ป้องกันได้พอสมควร อุดช่องว่างได้พอสมควร

แต่ปัญหาอีกอันหนึ่งที่เราเจอกันมานี้ก็คือการทุจริตในระบบการจัดซื้อจัดจ้าง ซึ่งหลายอย่างมันทำถูกทั้งหมด แต่ที่ผิดมันผิดนอกระบบ มันไม่ผิดก่อนเข้ามาในกระบวนการเช่น การสมยอมราคา (การฮั้วประมูล),  การกำหนดราคากลางที่ไม่เป็นมาตรฐาน,  การกำหนดขอบเขตงาน (TOR) ที่ไม่ชัดเจน – ล็อคสเปค หรือ การจัดซื้อผ่านตัวแทนจำหน่าย เหล่านี้เป็นต้น

2 ปีกว่าที่ผ่านมาระบบเหล่านี้ได้แก้ไขไปตามลำดับ ได้มีการพัฒนาระบบการจัดซื้อภาครัฐด้วยระบบอิเล็กทรอนิกส์ (e-GP) ซึ่งมีกำหนดแนวทางการจัดหาพัสดุ ด้วยวิธี “ตลาดอิเล็กทรอนิกส์”(e-Market) และด้วยวิธี “ประกวดราคาอิเล็กทรอนิกส์” (e-Bidding) ทำให้เราสามารถประหยัดงบประมาณแผ่นดิน ได้ราว 70,000 ล้านบาท นะครับ ที่ผ่านมาอย่าหาว่าเราไม่ได้แก้ไข้นะนี้ได้เงินคืนมา 7 หมื่นกว่าล้าน มีการจัดทำข้อตกลงคุณธรรม (IP)ใน 35 โครงการ ช่วยประหยัดงบประมาณได้กว่า 2,000 ล้านบาท  และได้กำหนดให้มีการเปิดเผยข้อมูลโครงการก่อสร้างภาครัฐ ที่เรียกว่า CoST ของประเทศอังกฤษ เข้ามาใช้ด้วย เพื่อเกิดความโปร่งใส ในทุกขั้นตอน ปัจจุบันมี 7 โครงการ วงเงินกว่า 1 แสนล้านบาท รวมทั้งมีการผลักดันพระราชบัญญัติจัดซื้อจัดจ้างและการบริหารพัสดุภาครัฐฯ เพื่อจะให้มีผลบังคับใช้ต่อไปด้วยนะครับ

ในอนาคตอันใกล้นี้ผมจะต้องกำหนดหลักเกณฑ์ที่เหมาะสมสำหรับในเรื่องของการเสนอราคาไม่ว่าจะเป็นแบบ Local Bidding หรือ แบบ International Bidding ให้มีความชัดเจนขึ้น เช่น โครงการก่อสร้างที่สูงกว่า 5,000 ล้านบาทขึ้นไปผมจะแต่งตั้ง Super Board เป็นคณะกรรมการกลางเพื่อจะกำกับดูแลในเรื่องนี้ ให้มีการสอบทานกระบวนการจัดซื้อจัดจ้างทั้งหมดที่ทำแล้วยังไม่จบจะต้องเข้าไปตรวจสอบ อันที่จะทำใหม่ก็ต้องเข้าไปดูแลได้ ทั้งราคากลาง งานก่อสร้าง ของภาครัฐและรัฐวิสาหกิจด้วยนะครับ

อีกชั้นหนึ่งในทุกขั้นตอนที่มีข้อสงสัย ถ้ามันสงสัยตรงไหนก็แก้ไข้ตรงนั้น ถ้ามันผิดทุจริตก็ส่งดำเนินคดีไป ไม่อย่างนั้นก็ติดไปหมดแหละ ทำเสร็จไปแล้วก็ทุจริตแล้วก็หาหลักฐานไม่ได้ เพราะฉะนั้นวันนี้ผมก็คิดแล้วคิดอีกก็หารือร่วมกันกับท่านรองนายกรัฐมนตรี ทั้งฝ่ายกฎหมายด้วยอะไรด้วยและหลายๆท่าน ก็ได้คำตอบมาว่าเราต้องปรับปรุงตรงนี้ ซึ่งจะต้องประกอบด้วย ผู้แทนจากหน่วยงานภาครัฐ  องค์กรวิชาชีพ  นักวิชาการ  และผู้ทรงคุณวุฒิ ผมก็ได้สั่งการให้ศูนย์อำนวยการต่อต้านการทุจริตแห่งชาติ (ศอตช.), ป.ป.ช. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องไปศึกษาความเป็นไปได้ในการแก้ไขกฎหมายเกี่ยวกับ “อายุความ” ในคดีทุจริต โดยให้เริ่มนับตั้งแต่ “เมื่อปรากฏหลักฐานการทุจริต” ไม่ใช่นับจาก “วันที่กระทำผิด” เป็นต้นเหล่านี้นะครับก็ไปดูซิว่าทำได้ไหม

สุดท้ายนี้ผมก็อยากจะบอกว่าวันนี้เรากำลังทำในสิ่งที่ยากร่วมกันอยู่นะครับ บางอย่างเราอาจจะไม่เคยทำมาก่อน แต่หากเราประพฤติโดยชอบ โดยธรรม ประพฤติโดยชอบประกอบโดยธรรมแล้วก็วิญญูชนม์ยอมรับแล้ว ผมก็อยากเสนอให้ทุกคนประสบความสำเร็จนะครับ สมกับที่ทุกคนมั่งหวังตั้งใจ

อาทิเช่น ทีมนักศึกษาแพทย์ คณะแพทย์ศาสตร์ศิริราชพยาบาล มหาวิทยามหิดล ก็มีความตั้งใจสร้างประวัติศาสตร์ในการทำกิจกรรม 1 ล้าน 5 แสนก้าววิ่งเพื่อชีวิต เชียงใหม่-ศิริราช เหมือนตูน นะครับ ที่ประจวบคีรีขันธ์ อันนี้เป็นการกุศลระยะทางรวมประมาณ 750 กิโลเมตร ระหว่างวันที่ 11-17 มีนาคมนี้

วัตถุประสงค์ที่น่าชื่นชมก็คือหาเงินสมทบทุนในการก่อสร้างอาคารนวมินทรบพิตร 84 พรรษา ซึ่งจะเป็นอาคารหลังสุดท้ายของโรงพยาบาลศิริราชที่ได้รับพระราชทานนามจากในหลวงรัชกาลที่ 9 เพื่อชีวิตที่ดี มีความเท่าเทียมในการรักษาพยาบาลของประชาชนชาวไทย ตามพระราชปณิฐานของพระองค์ นอกจากนั้นเป็นการรณรงค์ให้คนออกกำลังกาย รักษาสุขภาพ เพื่อจะลดค่าใช้จ่ายในการรักษาพยาบาล ซึ่งเป็นการแก้ปัญหาที่ปลายเหตุ ผู้ที่มีจิตศรัทธราสามารถเข้าร่วมกิจกรรมดังกล่าวตามกำลังกายของแต่ละท่าน ระมัดระวังตัวเองด้วย สุขภาพของตัวเองรู้อยู่แล้วดีแค่ไหนอย่างไรอย่าไปฝืน แล้วก็รถติดหรืออะไรต่างๆ ก็เห็นใจกันบ้างก็แล้วกันเพราะเขาทำการกุศล ส่วนการบริจาคเงินนั้นสามารถติดตามรายละเอียดได้จากด้านล่างของจอนี้นะครับ

ขอบคุณครับ ขอให้ “ทุกคน” มีความสุข ในช่วงวันหยุดสุดสัปดาห์ เริ่มสัปดาห์หน้าเราก็มาร่วมมือกันทำสิ่งดีๆ ทำความดีร่วมกัน ขอให้ทุกท่านมีสุขภาพกาย สุขภาพใจที่แข็งแรง รวมกันจรรโลงศีลธรรม คุณธรรม จริยธรรม เดินหน้าประเทศไทยของเราให้เจริญเติบโตก้าวหน้าด้วยความ มั่นคง มั่งคั่ง ยั่งยืนนะครับ ขอบคุณครับ สวัสดีครับ..

Tag :