นายกฯใช้แนวทางธ.โลกพัฒนาการศึกษา เพิ่มทักษะแรงงานช่วยผู้มีรายได้น้อย

by ThaiQuote, 17 มีนาคม 2560

สวัสดีครับ พ่อแม่พี่น้องชาวไทยที่รักทุกท่าน

ช่วงนี้ประเทศไทยเริ่มเข้าสู่ฤดูร้อนแล้วนะครับ อุณหภูมิสูงขึ้นทุกวัน เมื่อวานก็ประมาณ 36 องศา ถึงแม้ว่าอากาศจะร้อน ผมก็อยากให้ทุกคน “ใจเย็นๆ” ไม่ใช้อารมณ์ฉุนเฉียวในการแก้ปัญหา ผมเองก็ด้วยนะ ก็ต้องแก้ไขตัวเอง ปรับปรุงตัวเอง เพราะว่าวันนี้ในท้องถนน ในการทำงาน หรือแม้กระทั่งที่บ้านย่อมมีเรื่องที่ไม่ค่อยได้ดั่งใจ อาจจะมีการกระทบกระทั่งกันอยู่บ้าง ด้วยคำพูด ด้วยการกระทำ ก็ขอให้ทุกคนได้มีสติ รู้จักให้อภัยกัน อย่าใช้ความรุนแรงตัดสินปัญหานะครับ บางอย่างก็เกิดจากความไม่เข้าใจ หรืออาจจะเกิดจากความหวังดี ไม่เข้าใจเจตนา ก็ขอให้อดทนฟังกันให้มาก แล้วก็ร่วมกันคิดว่าเราจะแก้ปัญหานี้ได้อย่างไร ถ้าหากตัวเราตั้งแง่ใส่กัน ค้านทุกอย่าง เปิดใจให้กว้างขึ้นน่าจะดีกว่านะครับ

สิ่งที่เกิดเป็นประจำ “ทุกปี” ในช่วงฤดูร้อน ก็คือการลืมเด็กไว้ในรถจนเสียชีวิต หรือการจมน้ำตายของลูกหลานที่ลงไปเล่นน้ำเหล่านี้ ผมยกเป็นตัวอย่างขึ้นมาเตือนไว้ก่อน อยากให้ทุกคนไม่ว่าจะเป็นคนขับรถตู้รับส่งนักเรียน ผู้ปกครอง พ่อแม่ ผู้คนรอบข้างได้สังเกตและก็ดูแลซึ่งกันและกันให้เด็กๆของเรานั้นอยู่ในสายตา โดยผู้ใหญ่ก็ต้องไม่เผลอเลอไม่ประมาทนะ

ในภาพรวมของประเทศ สิ่งที่มากับฤดูร้อนนี้ก็คือ “ภัยแล้ง” ก็คู่กับประเทศไทยมายาวนานโดยเฉพาะอย่างยิ่งพื้นที่นอกเขตชลประทานนะครับ หรือแม้กระทั่งในเขตชลประทานที่ดูเหมือนจะมีน้ำมากเก็บกักน้ำไว้ได้ แต่ก็ไม่มากนักนะครับ ระบบส่งกระจายน้ำที่ยังไม่สมบูรณ์ มีทั้งสร้างไม่เสร็จ สร้างไม่ได้ หรือประชาชนไม่ยินยอมให้ทางผ่าน และอีกเรื่องคือปัญหาหมอกควัน ในพื้นที่ภาคเหนือของประเทศ และจากประเทศเพื่อนบ้าน ซึ่งเราได้มีการหารือร่วมกันว่าจะแก้ปัญหาโดยรวมอย่างไรในภูมิภาค เหล่านี้ไม่ใช่ปัญหาที่แก้ได้ง่ายๆด้วยการสั่งการครั้งเดียว วันเดียว เดือนเดียว ปีเดียวนะครับ เพราะว่าประกอบไปด้วยคนหลายส่วน แล้วหลายพื้นที่นะครับ มีปัญหาทั้งทางด้านการปฏิบัติ ทางด้านกฎหมาย เพราะฉะนั้นเราต้องหาวิธีการร่วมมือกันให้ได้ในพื้นที่แล้วก็ต่างพื้นที่ด้วย ไปด้วยกันนะครับ นอกประเทศก็หารือกันเรื่องหมอกควันนะครับ เรื่องน้ำเราก็ได้มีการพูดคุยกับประเทศเพื่อนบ้านเรานะครับ ทำอย่างไรเราจะมีน้ำเพิ่มขึ้น ช่วยกันนะครับ นี่ก็เป็นเรื่องของการพูดคุยกับประเทศเพื่อนบ้านที่เขาเป็นเจ้าของแม่น้ำระหว่างประเทศ บางพื้นที่ด้วยนะครับ ภัยพิบัดิเหล่านี้นั้นเราสามารถจะป้องกันหรือให้ทุเลาเบาบางลงได้ ทั้งนี้ก็ด้วยมาตรการต่างๆของรัฐ ที่เราได้พยายามวางรากฐานไว้ให้แล้ว ก็ขอแต่เพียงช่วยเชื่อฟังคำแนะนำของเจ้าหน้าที่ ของหน่วยงานต่างๆ ทั้งในพื้นที่ และในส่วนกลาง แล้วก็ร่วมมือกับเจ้าหน้าที่ของรัฐ ปัญหาต่างๆเหล่านี้ก็จะไม่ลุกลามใหญ่โต

ในการทำงานเพื่อบรรเทาสาธารณภัยนั้น มีพลังมวลชนกลุ่มหนึ่งที่ถูกจัดตั้งโดยใช้กิจกรรมลูกเสือ เนตรนารี เป็นกลไกในการสร้าง “พลังเยาวชน” เป็น “หน่วยลูกเสือราชประชานุเคราะห์” ในโรงเรียนราชประชานุเคราะห์ 58 แห่ง ทั่วประเทศ ซึ่งผมเห็นว่า “ศาสตร์พระราชา” นี้ นอกจากจะช่วยให้เด็กนักเรียนทำตัวไม่เป็นภาระของพ่อแม่แล้ว ก็ยังทำให้มีความสามารถในการช่วยเหลือตัวเองและผู้อื่นในสถานการณ์ต่างๆได้อีกด้วย อาทิเช่น ที่ผ่านมาช่วงปลายปีที่แล้วก็เกิดอุทกภัยในพื้นที่ภาคใต้ หน่วยลูกเสือราชประชานุเคราะห์ก็ได้ปฏิบัติหน้าที่ช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย โดยเป็นกำลังสำคัญในการประกอบอาหารเลี้ยงและแจกจ่ายให้แก่ผู้ประสบภัย รวมถึงขนย้ายสิ่งของ และทำความสะอาดบ้านเรือนของผู้ประสบภัยหลังน้ำลดนะครับ ก็ขอให้ระมัดระวังด้วยนะครับอย่าเอาคนส่วนนี้ไปอยู่ในพื้นที่ที่มีอันตราย ทั้งนี้ผมอยากให้พวกเราช่วยกันสร้างจิตสำนึก อุดมการณ์ เผื่อแผ่ แบ่งปัน จิตสาธารณะด้วยนะครับ

สำหรับคุณสมบัติของหน่วยลูกเสือราชประชานุเคราะห์ ก็ได้แก่ การเป็นคนดีมีคุณธรรม, มีระเบียบวินัย, มีความสามัคคีและอยู่ร่วมกันอย่างมีความสุข ที่สำคัญก็คือ “มีจิตอาสา มีจิตสาธารณะ” พร้อมที่จะทำประโยชน์หรือบรรเทาสาธารณภัยให้แก่ส่วนรวม ผมก็เห็นว่าเป็นพื้นฐานที่ดีสำหรับเยาวชนรุ่นใหม่ ก็อยากให้เป็นแบบอย่างให้กับเยาวชน และกลุ่มพลังอื่นๆ อาทิเช่นนักศึกษาอาชีวะนะครับ ที่ผมก็ถือว่าหรือเชื่อว่ามีศักยภาพอยู่แล้วมากมาย หากได้รับการสนับสนุนเพิ่มเติมให้ทำกิจกรรมอื่นๆอีกด้วย ที่สร้างสรรค์เพื่อสังคม เพื่อส่วนรวม ในช่วงปิดภาคเรียน เราก็จะลดปัญหาต่างๆไปได้อีกมากมาย อาทิ เช่น งานจราจร งานรักษาความสะอาด งานมัคคุเทศก์ งานซ่อมแซมรถยนต์ รถจักรยานยนต์ งานซ่อมแซมบ้านเรือน จากพายุฤดูร้อน หรืองานจิตอาสาอื่นๆเป็นต้นนะครับ ก็จะช่วยให้ประเทศไทยของเรานั้นมี “พลเมืองดี” มีพลังบริสุทธิ์ที่จะเติบโตเป็นผู้ใหญ่ และก็พร้อมที่จะช่วยกันพัฒนาประเทศ ก็ขอให้ทั้งภาครัฐ ภาคเอกชนช่วยกันดูแลเยาวชนเหล่านี้ด้วย เอาไปร่วมงานกันในช่วงปิดเทอมนะครับ เพื่อสังคม

พี่น้องประชาชนทุกท่านครับ

“บันได 3 ขั้น” สู่ความสำเร็จ เราทราบดีอยู่แล้วก็คือ “คิด พูด แล้วก็ทำ” เราต้องทำอย่างไรให้ครบวงจรนะครับ ปัญหาใหญ่ปัญหาเล็ก เราจะแก้ไปพร้อมๆกันได้ไหม เพราะเป็นส่วนประกอบซึ่งกันและกัน แล้วจึงพูดนะครับ แล้วก็ปฏิบัติ คือ คิด พูด แล้วก็ทำ ในสิ่งที่คิดไว้อย่างรอบคอบแล้วก็รัดกุม  ถ้าต่างคนต่างคิดไม่รับฟังความคิดเห็นต่างเลยไม่คิดหาทางให้มันเกิดขึ้น ไม่ยอมกันอย่างเดียว ถ้าไม่ตรงกับของตัวเองก็ไม่ยอม ก็ไม่สามารถจะลงมือทำ แล้วก็นำไปสู่ความสำเร็จได้อีกเลยนะครับ ส่วนการ “พูด” นั้น ประเทศชาติของเราวันนี้ ต้องการการพูดที่สร้างสรรค์ เพื่อให้เกิดความรู้ให้เข้าใจกัน จะได้ร่วมกันพัฒนาประเทศด้วยปัญญา ด้วยเหตุผล ดังนั้น การพูด การนำเสนอในสิ่งดีๆ เป็นสิ่งที่สำคัญมากนะครับ เพราะการเสพสื่อทุกชนิดนะครับ หรือเสพข้อมูลข่าวสาร ก็เหมือนกับคนเรานั้น “กินอาหาร” เพราะปกติอาหารก็คือสิ่งที่เป็นประโยชน์ บำรุงร่างกาย มีพลังงานไปทำงาน แต่ถ้ากินแต่อาหารไม่ดี อาจจะอร่อยถูกปาก แทนที่จะให้คุณ ก็อาจจะกลับกลายเป็นโทษ ทำลายสุขภาพด้วยนะครับ และถ้าหากเปรียบประเทศของเราคือร่างกาย ประชาชนต่างสาขาอาชีพก็คงเป็นอวัยวะ ที่ต่างคนต่างมีหน้าที่ และต้องทำงานประสานสอดคล้องกัน สื่อมวลชนก็เหมือนกันนะครับ ก็เป็นส่วนหนึ่งของอวัยวะเหล่านี้ด้วย มีความสำคัญในการให้ความจริงที่เป็นความรู้ แต่ถ้าเราให้โดยไม่รู้นะครับ เป็น “ความเท็จ” ก็เป็น “อวิชชา” นอกจากไม่สร้างการรับรู้ความรู้ที่ดีแล้ว ก็ยังนำไปสู่ความเข้าใจผิด และความขัดแย้งในที่สุด

ที่ผ่านมานั้นเราคงโทษใครไม่ได้นะครับ แต่อยากให้สติทุกคน แล้วก็ขอร้องสื่อว่าควรเสนอข่าวด้วยความระมัดระวัง ให้เป็นไปตามข้อเท็จจริงเท่านั้น อย่าสร้างประเด็นที่ทำให้เกิดความขัดแย้ง ไม่เช่นนั้นการที่เราส่งเสริมให้ประชาชนช่วยกันร่วมมือกัน ไม่เกิดนะครับ ถ้าทุกคนร่วมมือกัน ช่วยกัน ช่วยตัวเองบ้าง ก็จะลดภาระของรัฐบาลลงแล้วก็จะเร็วขึ้นด้วยนะครับ เราจะได้ใช้งบประมาณอย่างทั่วถึง สร้างสภาวะแวดล้อมของการลงทุน ความไว้เนื้อเชื่อใจ เพื่อจะเพิ่มอาชีพรายได้ให้กับประชาชนให้มากยิ่งขึ้น ทุกกลุ่มทำให้ถูกวิธีนะครับ บางอย่างอาจค่อยเป็นค่อยไป อย่าสร้างความคิดที่ทำให้การเปลี่ยนผ่านของประเทศไทยติดขัดนะครับ เป็นอุปสรรคเพราะความไม่รู้ ความไม่เข้าใจ หรือจะด้วยเจตนาหรือไม่เจตนาก็ตาม เพราะสิ่งที่เราทุกคนรวมทั้ง รัฐบาล และคสช. คาดหวังก็คือ “มั่นคง มั่งคั่ง ยั่งยืน”

ผมขอร้องอีกครั้งนะครับบรรดาบุคคล กลุ่มบุคคล ที่พยายามหรือเจตนาจะบิดเบือนการทำงานของรัฐบาลและคสช.โดยจับเอาเรื่องเล็กๆน้อยๆ หรือบางเรื่อง เรื่องส่วนตัวมาทำให้สังคมสับสนอลม่านไปหมด ทั้งนี้ก็เพื่อประโยชน์ของตน ทั้งในอดีต ปัจจุบัน และอนาคตนะครับ คนกลุ่มเหล่านี้ยังมีอยู่ ก็ขอร้องให้ยุติได้แล้ว ประชาชนช่วยกันตัดสินใจนะครับ ว่าเราจะให้คนเหล่านี้อยู่สร้างความเดือดร้อนให้กับประเทศชาติต่อไปหรือไม่ ทั้งนี้ผมก็อยากให้ทุกคนแสดงความคิดเห็นอันเป็นประโยชน์ ผมรับฟังทุกคนทุกฝ่ายโดยไม่ฝ่าฝืนกฎหมาย จะทำให้ก่อให้เกิดความเสียหายต่อส่วนรวมกับประเทศชาติในที่สุดนะครับ สื่อ โซเชียลมีเดีย ก็ขอให้พยายามเข้าใจรัฐบาลและคสช. ด้วยนะครับ ทุกคนก็อยากได้อยากให้ประเทศไทยดีขึ้น ผมไม่ต้องการให้ทุกคนมาช่วยเชียร์ผมอะไรต่างๆ ผมไม่ต้องการนะครับ ก็ขอให้ข่าวหรือเสนอข่าวโดยใช้ข้อเท็จจริง แล้วอะไรที่จำเป็นต้องให้ประชาชนเรียนรู้ก็ขอให้ข้อมูลเขาด้วย อะไรที่เป็นเรื่องจริงที่ต้องชี้แจงในการปฏิบัติ อะไรกำลังทำอยู่ อะไรที่ยังไม่ได้ทำ เพราะอะไร

เพราะฉะนั้นสิ่งเหล่านี้เราต้องสร้างหลักคิดให้กับประชาชนนะครับ ปูพื้นฐานให้เขา ให้เขาคิดเป็นทำเป็น พูดเป็นนะครับ หลายอย่างจำเป็นต้องทำวันนี้ เช่นน้ำ เช่นเกษตร หลายอย่างก็ทำไม่ได้ ติดขัดทั้งหมดนะ หลายๆอย่างติดขัดเรื่องที่จำเป็นต้องทำก่อนก็ทำไม่ได้ ก็ไม่ต่อเนื่อง เพราะว่าถ้าเราทำไม่ได้ประโยชน์ก็ไม่เกิดกับใครทั้งสิ้น ส่วนรวมก็ไม่ได้ ส่วนน้อยก็ไม่ได้ ตัวเองก็ไม่ได้ เพราะคัดค้านกันไปซะหมด การกระทำใดๆต่างๆก็ตามที่ดี รัฐบาลพร้อมจะสนับสนุนอย่างเต็มที่ แต่ถ้าเป็นการทำผิดกฎหมาย ไม่ว่าจะในอดีตหรือปัจจุบัน รัฐบาลและคสช. พยายามใช้กฎหมายปกติ อำนาจหน้าที่ขององค์กรอิสระ กระบวนการยุติธรรมเป็นผู้ดำเนินการ เราไม่ได้มุ่งหวังจะใช้มาตรา 44 ไปใช้ด้วยเจตนาร้าย บางอย่างจำเป็น บางอย่างไม่จำเป็นนะครับ ก็ขอให้ทุกคนได้เข้าใจว่าเราทำเพื่อให้เกิดการบูรณาการ แล้วก็นำเข้าทุกอย่างเข้าสู่กระบวนการยุติธรรมใช้กฎหมายปกติเท่านั้นนะครับ

เช่นกรณีธรรมกาย รัฐบาลและคสช. ก็ได้พยายามดำเนินการทุกมาตรการด้วยความระมัดระวังรอบคอบเพื่อยุติปัญหานะครับ และรักษากระบวนการยุติธรรมของประเทศ ไม่ต้องการให้เกิดความรุนแรง ไม่ได้ทำตามอำเภอใจ หรือทำตามความรู้สึก หรือทำงานด้วยความกดดัน เพราะว่า “สถาบันศาสนา” นั้นเป็นหนึ่งในสถาบันหลักของชาติ การใช้มาตรา 44 นั้นมีความจำเป็นทั้งนี้เนื่องจากกฎหมายปกติถูกละเมิด แล้วก็มีการใช้ “กฎหมู่” กฎหมายอื่นๆก็มี เช่น พ.ร.ก.ฉุกเฉิน กฎอัยการศึก ก็จะรุนแรงเกินไปนะครับ เพราะใช้แล้วก็ต้องใช้อย่างเต็มที่ อาจจะเกินกว่าเหตุไปเกินไป เรื่องเล็กกลายเป็นเรื่องใหญ่ หรือเรื่องใหญ่ก็กลายเป็นใหญ่มาก เพราะความมุ่งหมายก็เพื่อจะตรวจค้น นำตัวผู้กระทำความผิดและก็มี “หมายจับ” ของศาลมาดำเนินคดีตามกฎหมายนะครับ ถ้าไม่ผิดก็คงไม่มีหมายศาลไปจับนะ ไปย้อนดูตรงโน้นไม่ใช่รังแกใครทั้งสิ้น

สำหรับการใช้ พ.ร.บ.คณะสงฆ์ฯ และกฎ มส. นั้น ก็เพื่อจะให้ผู้ปกครองคณะสงฆ์ และหน่วยงานด้านความมั่นคงได้ทำงานร่วมกัน และให้การดำเนินการต่างๆ ในวัดพระธรรมกายเป็นไปด้วยความเรียบร้อย

สุดท้ายนะครับ การใช้พระธรรมวินัย ที่เรียกว่าวินัยของพระนะครับ เราก็จะต้องมาพิจารณา “ความถูกผิด” นะครับ ในเรื่องของคำสอน, ในเรื่องของพิธีกรรม, พิธีการ การบริจาคเงิน, การบริหารกิจการของวัด รวมทั้งการปฏิบัติตนของพระสงฆ์ในวัดพระธรรมกาย ว่ามีความเหมาะสมหรือไม่อย่างไร และที่ถูกต้องคืออะไร เราจะได้ตอบข้อสงสัยของประชาชนไปด้วยนะครับ โดยเฉพาะพุทธศาสนิกชนอื่นๆอีกด้วยที่นับถือพุทธศาสนาเป็นจำนวนมากเกิน 90 กว่าเปอร์เซ็นต์ เกือบร้อยเปอร์เซ็นต์ในประเทศไทย ผมเข้าใจนะครับว่าทุกคนก็มีความเชื่อ มีความศรัทธาที่ไม่เหมือนกัน แต่หลักธรรมคำสอนอยู่ตรงไหนตรงนั้นเป็นสิ่งสำคัญนะครับ แล้วก็ไม่อยากให้ทุกอย่างนั้นบิดเบือนไปสู่ในเรื่องของการแสวงหาผลประโยชน์เราต้องทำให้เกิดความชัดเจนนะครับ

เรื่องอื่นก็มีนะครับ ที่วัดอื่นพระอื่นๆ ก็มีที่ทำผิดวินัยจำนวนมากก็ขอให้ทุกคนได้ช่วยกันสอดส่อง แล้วก็แจ้งหน่วยราชการ หรือแจ้งเจ้าคณะให้มีการสอบสวนลงโทษนะครับ เอามาเปรียบเทียบกันไม่ได้ว่า อันอื่นก็มี ทำไมจะต้องมาทำที่วัดธรรมกาย ผมว่าพูดแบบนี้ไม่ได้ เราต้องการทำทุกที่นะครับ เพราะฉะนั้นตรงไหนมีความรุนแรงก็อาจจะต้องทำก่อน แต่ที่อื่นก็มีความจำเป็นต้องทำ ก็ฝากให้ทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในเรื่องนี้ได้ติดตาม เราต้องขจัดพระที่ไม่ดีออกไป แล้วก็ทำให้เป็นที่เคารพและศรัทธา เชื่อมั่นของประชาชนที่เป็นพุทธศาสนิกชนให้มากที่สุดนะครับ

อีกประเด็นที่สังคมให้ความสนใจก็คือ กรณีการประเมินภาษี จากการขายหุ้นกลุ่มชินคอร์ป ซึ่งก็เป็นการดำเนินการตามกฎหมายเพื่อรักษาผลประโยชน์ให้กับประชาชนและประเทศชาติ ก็ไปดูกันว่าหลักการคืออะไร หลักการที่ฝ่ายกฎหมายเขาประชุมร่วมกันมาก็สรุปว่าต้องดูก่อนนะครับ ว่าเป็นการโอนและซื้อขายหุ้นที่กระทำโดยสุจริตหรือไม่ เพราะที่ผ่านมานั้นศาลฎีกาเคยตัดสินแล้วว่า มีการโอนกันหลายทอดมีเจตนาที่แยบยล แสวงประโยชน์จากช่องว่างของกฎหมายจนมีผลกำไร แล้วก็ทุกวันนี้สังคมเองก็เชื่อว่าไม่สุจริต เพราะเป็นการเลี่ยงภาษี 

อีกประเด็นก็คือการใช้ช่องว่างทางกฎหมายเพื่อประโยชน์ส่วนตัว ทำให้ประเทศชาติเสียรายได้ ในขณะที่อยู่ในตำแหน่ง มีอำนาจ มีหน้าที่ต้องรักษากฎหมาย รักษาผลประโยชน์ของชาติโดยรวมนั้น จึงต้องมีคุณธรรม จริยธรรมมากกว่าบุคคลทั่วไปนะครับ ดังนั้นสิ่งที่เกิดขึ้นสมควรแล้วหรือไม่ก็ไปพิจารณากันมา เข้าสู่กระบวนการยุติธรรมนะครับ ต่อสู้กันให้ถูกต้อง

เรื่องที่ 2 ถ้าหากว่า เราพบว่า “ไม่สุจริต” แล้ว ก็ต้อง “สร้างมาตรฐานเดียว” ก็คือ การบังคับใช้กฎหมายตามปกติ เหมือนกับ “นิติบุคคล” อื่นๆ ที่มีการซื้อขายหุ้น แล้วต้องเสียภาษี ตามกฎหมาย โดยให้ผู้ที่เกี่ยวข้องทั้ง สตง., ปปช., ปปง., ปปท. และกรมสรรพากร กระทรวงการคลังไปหารือกัน และศึกษาข้อเท็จจริงโดยรายละเอียดนะครับ

3 การดำเนินการในเรื่องนี้มีความอ่อนไหว จะต้องมีความโปร่งใส เป็นธรรม ไม่ขัดหลักนิติธรรม และก็ผมไม่ให้ใช้มาตรา 44 นะครับ ในการที่จะขยายเวลา ขยายอายุความแต่ประการใด ยังคงเป็นกระบวนการยุติธรรมตามปกติ ในการประเมินภาษีจาก “เจ้าของหุ้นที่แท้จริง” โดยตรง ซึ่งก็ถือว่าเป็น “ตัวการ” ที่ย่อมต้องมีความผูกพันต่อการกระทำของ “ตัวแทน” ด้วย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์นะครับ

ดังนั้น สิ่งที่เกิดตามมา คือ

(1) กรมสรรพากร ต้องดำเนินการตามอำนาจหน้าที่ ตามกฎหมายต่อไป ได้แก่ การประเมินภาษี “ก่อนสิ้นเดือนมีนาคมนี้” 

(2) กระทรวงการคลัง ตั้งคณะกรรมการสอบสวน “ทุกขั้นตอน” เพื่อสร้างบรรทัดฐานที่ดีให้กับหน่วยงานราชการอื่นๆต่อไป

และก็ (3) ปล่อยให้เป็นไปตามกระบวนการของศาล โดย “ผู้ถูกประเมินภาษี” ก็ยังมีสิทธิ์อุทธรณ์ภายใน 30 วัน เป็นวิธีการปกตินะครับ แล้วก็ไปต่อสู้ในศาล สุดท้ายการที่จะเรียกเก็บภาษีได้หรือไม่ ก็ขึ้นอยู่กับศาลนะครับ ทุกอย่างต้องเกิดขึ้นชัดเจน รัฐบาลไม่สามารถจะช่วยใคร เข้าข้างใครได้ทั้งสิ้น เพราะเป็นเรื่องของของกระบวนการยุติธรรม แต่เมื่อได้ข้อยุติมาแล้ว ตัดสินออกมาแล้ว ทุกคนก็ต้องเชื่อถือ เชื่อมั่น เคารพการตัดสินของศาลนะครับ อย่าเอะอะโวยวายกันอีก เพราะผมนำเข้าพิจารณาแล้ว ไม่งั้นศาลก็เสียหาย กระบวนการยุติธรรมเสียหายเข้าไปอีก อันนี้ก็ขอให้ใช้เหตุใช้ผล อย่าใช้ความรู้สึก ดูแลจากข้อกฎหมายด้วยนะครับ

จากทั้ง 2 กรณี รวมทั้ง “กรณีสินบนโรลสรอยซ์” นั้น ผมก็ไม่ได้มองเพียงว่าเราจะแก้ปัญหา หาคนมาลงโทษได้อย่างไรเท่านั้น เราต้องสร้างความชัดเจนให้กับสังคมในปัจจุบันด้วยนะครับ สิ่งที่ผมเป็นห่วงคือว่าเหตุการณ์อย่างนี้จะทำอย่างไรวันข้างหน้าจะไม่เกิดขึ้นอีก สิ่งเลวร้ายเหล่านี้จะไม่เกิดขึ้นอีกในสังคมไทย ไม่ตามมาหลอกหลอนพวกเรา หรือรัฐบาลต่อๆ ไป บั่นทอนการพัฒนาประเทศของเรา อย่างน้อยผมอยากให้สังคมได้รับรู้เข้าใจ และตระหนักดีในเรื่องของประเด็นปัญหาต่างๆเหล่านี้ เพื่อจะร่วมมือกันป้องกันที่ต้นเหตุ เหมือนกับ “อุบัติเหตุ” ทุกอย่างนะครับ แม้ว่าจะเกิดจากเหตุสุดวิสัย แต่เราก็สามารถป้องกันได้ถ้าไม่ประมาท มีการเตรียมตัวให้พร้อมล่วงหน้านะครับ ดังนั้น ผมเชื่อว่าทุกปัญหามีทางออก หากใช้ “ประชารัฐ” ร่วมมือร่วมใจกันนะครับ

อีกเรื่องหนึ่งคือเรื่องการที่มีการกล่าวอ้างว่า มีการแอบอ้างผลประโยชน์จากผมบ้าง จากรองนายกบ้าง จากรัฐมนตรีบ้าง แจ้งมาเลยนะครับ ผมยินดี ผมยืนยันว่าผมไม่ได้ไปเรียกร้องอะไรกับใครทั้งสิ้น เพราะฉะนั้นใครไปแอบอ้าง ไม่ว่าจะเรื่องส่วนตัว เรื่องผลประโยชน์ เรื่องใดก็ตาม อย่าไปเชื่อเขานะครับ ผมยืนยันแทนท่านรองนายกรัฐมนตรี แทนรัฐมนตรีอื่นๆด้วยนะครับ แต่ถ้ามีส่งมาผมจะสอบสวนให้ อย่าเกรงใจผม ไม่ต้องเกรงใจ ไม่อย่างนั้นทุกคนก็ไปกล่าวอ้างกันเลอะเทอะไปหมด มันเสียหาย เพราะผมเข้ามาเพื่อจะทำให้บ้านเมืองมีความสงบสุข เรียบร้อย แล้วก็ทำให้เกิดการบังคับใช้กฎหมายอย่างเป็นธรรมที่เรียกว่า NCPO ที่ย่อมาจาก National Council for Peace and Order นะครับ

ผมมีตัวอย่าง “ความร่วมมือ” ดีๆ มาเล่าให้ฟังนะครับ ไม่ว่าพวกเราทุกคน รัฐบาลทุกรัฐบาลจะพยายามแก้ไขเพียงไหน ในการที่จะนำพาประเทศไปสู่วิสัยทัศน์ “มั่นคง มั่งคั่ง ยั่งยืน”  แต่ถ้าเราไม่สามารถ “เอาชนะ” ภัยเงียบจากการทุจริตคอร์รัปชั่นได้ ประเทศชาติก็ไม่อาจบรรลุเป้าหมายได้นะครับ วันนี้ผมถือว่าเป็นเรื่องที่น่ายินดี ที่ทุกภาคส่วนให้ความสำคัญ และร่วมมือกับภาครัฐ ประกอบด้วย องค์กรต่อต้านคอร์รัปชั่น ประเทศไทย, มูลนิธิเพื่อคนไทย, สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทยเช้นจ์ เวนเจอร์ สภาธุรกิจตลาดทุนไทย และบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน 15 บริษัท ในการจัดตั้ง “กองทุนรวมธรรมาภิบาลไทย” สำหรับหาแหล่งทุน เพื่อสนับสนุนการดำเนินของภาคประชาชนที่เกี่ยวกับธรรมาภิบาลและการต่อต้านคอร์รัปชั่น อันได้แก่

(1) คือการรณรงค์ให้คนไทยเห็นความสำคัญและเข้ามามีส่วนร่วมในการแก้ปัญหาคอร์รัปชั่นของประเทศ

(2) การรณรงค์ให้มีการดำเนินธุรกิจอย่างรับผิดชอบต่อสังคม ทำให้เกิดค่านิยมและวัฒนธรรมการทำการค้าที่ซื่อสัตย์ ไม่ร่วมมือกับคนโกงและไม่ยอมให้ใครโกงด้วย

(3) การแก้ปัญหาธรรมาภิบาลและการคอร์รัปชั่นในธุรกิจตลาดทุน เพื่อจูงใจให้บริษัทที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ มีการบริหารจัดการและดำเนินธุรกิจอย่างโปร่งใส เป็นต้นนะครับ

ซึ่งก็เป็นครั้งแรกของประเทศ และ “น่าจะ” เป็นครั้งแรกของโลก ที่ทุกภาคส่วนมีการ “ลงขัน” สร้างกลไก กำหนดวิธีการในการทำกิจกรรมร่วมกัน เพื่อป้องกันและเอาชนะการโกง การทุจริตตั้งแต่ “ต้นเหตุ” ต้องช่วยกัน เริ่มตั้งแต่วันนี้ ประเทศชาติจะได้พัฒนาอย่างเต็มศักยภาพ

พี่น้องประชาชนที่รักครับ

เมื่อต้นสัปดาห์นี้ ธนาคารโลกได้รายงานเกี่ยวกับแนวทางการพัฒนาประเทศของไทย โดยมีมุมมองว่าไทยเป็นประเทศที่มีศักยภาพสูง ประชาชนมีความเป็นอยู่ที่ดี โดยระหว่างปี พ.ศ. 2503 ถึง พ.ศ. 2539 เศรษฐกิจไทยเจริญเติบโตดีต่อเนื่อง เฉลี่ยที่ร้อยละ 7.5 แต่ในช่วงปี 2548 เป็นต้นมา ผ่านวิกฤตเศรษฐกิจการเงินโลกจนมาถึงปัจจุบัน อัตราการเติบโตลดลงเหลือเฉลี่ยประมาณร้อยละ 3.3  หลักๆก็เป็นผลมาจากความสามารถในการแข่งขันของประเทศที่ลดลง อีกด้านหนึ่งก็คือ ไทยยังมีปัญหาความเหลื่อมล้ำ เป็นปัญหาที่ยังคงแก้ไขได้ยาก แล้วก็ยังมีผู้มีรายได้น้อยอยู่อีกมากนะครับ

ซึ่งปัญหาหลักๆเหล่านี้ รัฐบาลปัจจุบัน คสช. ก็ได้เล็งเห็นแล้วก็พยายามเร่งแก้ไขอย่างเร่งด่วนเต็มความสามารถนะครับ ไม่ได้ทำมาตั้งแต่ปี 2548 ตามที่เขาวิเคราะห์มานั่นแหละ หลายปัญหาไม่สามารถแก้ไขได้ในระยะสั้น เราก็ต้องพยายามวางรากฐานและมีการดำเนินการอย่างเต็มที่ ในรายงานของธนาคารโลกนี้ ก็ได้เสนอแนะให้ประเทศไทยให้ความสำคัญกับการพัฒนา 4 ด้าน เพื่อให้สามารถลดปัญหาความเหลื่อมล้ำ เพิ่มความกินดีอยู่ดีของประชากร ซึ่งสอดคล้องกับยุทธศาสตร์ระยะยาวของประเทศ ที่เรากำลังจัดทำอยู่ขณะนี้ ยุทธศาสตร์ 20 ปีนะครับ ที่รัฐบาล และคสช. ได้เร่งดำเนินการในโครงการต่างๆมาอย่างต่อเนื่อง อันนี้ตรงกัน ก็แสดงว่า “เราเดินถูกเส้นทางแล้ว” นะครับ ตรงกับที่เขาคิดวิเคราะห์แนะนำมา ผมก็อยากจะมาเล่าสู่กันฟัง ให้พี่น้องประชาชนได้รับทราบว่าการดำเนินงานของภาครัฐได้สอดคล้องกับ 4 แนวทาง ที่ธนาคารโลกเสนอแนะ มีอะไรบ้าง ผมก็พอจะเล่าให้เห็นเป็นตัวอย่าง การแก้ปัญหาหลายอย่างต้องใช้เวลามากบ้างน้อยบ้าง หรือทำได้โดยทันทีนะครับ ในการปฏิรูปนั้นเราจำเป็นต้องมี Roadmap ทุกกิจกรรม เพราะว่าเวลาเป็นตัวจำกัด งบประมาณด้วย เหล่านี้อยู่ในยุทธศาสตร์ไงทั้งหมดนะครับ

ด้านแรก คือประเทศไทยต้องเร่งสร้างงานที่มีคุณภาพเพิ่มขึ้น ธนาคารโลกแนะนำให้ปรับปรุงการเชื่อมโยงของโครงสร้างพื้นฐาน เช่น ถนน ระบบราง ในภูมิภาคให้ดียิ่งขึ้น มีการส่งเสริมความสามารถในการแข่งขัน ผ่านการเร่งพัฒนาอุตสาหกรรมการผลิต ด้วยการใช้เทคโนโลยีใหม่ๆ และมีการสร้างนวัตกรรมเพื่อต่อยอดการใช้งาน และสร้างมูลค่าเพิ่ม ซึ่งเป็นแนวทางที่ภาครัฐได้ดำเนินการมาอย่างต่อเนื่องนะครับ อันได้แก่

(1) การลงทุนสาธารณูปโภคพื้นฐาน  เร่งการสร้างถนนโดยเฉพาะที่เป็นสายหลัก ที่เชื่อมโยงระหว่างภูมิภาคต่างๆ รวมทั้งการเร่งสร้างระบบราง เช่น รถไฟรางคู่ หรือรถไฟความเร็วสูงที่จำเป็น ให้เกิดขึ้นโดยเร็วอย่างเป็นรูปธรรมและโปร่งใส นอกจากนั้นได้มีการสนับสนุนให้เกิดการพัฒนาท่าเรือ ท่าอากาศยาน เน้นให้สามารถเชื่อมต่อกันได้ง่าย แล้วก็เชื่อมโยงกับแหล่งผลิตอุตสาหกรรมต่างๆ เพื่อลดต้นทุนการขนส่ง เพิ่มกำไรเพิ่มรายได้ให้กับภาคธุรกิจด้วย

ในการทำในเรื่องนี้นะครับ จำเป็นต้องทำให้เกิดธุรกิจต่อเนื่องด้วย ไม่ใช่ว่าทำเฉพาะถนน หรือไม่ก็ทำเฉพาะท่าเรือแล้วจบแค่นั้น ไม่ใช่ ต้องสร้างธุรกิจต่อเนื่อง เป็นพื้นที่นะครับ ถึงจะเกิดการสร้างงาน สร้างห่วงโซ่รายได้ ประชาชนมีรายได้น้อย ก็มีงานทำได้รับประโยชน์จากโครงการเหล่านั้นด้วย วันนี้ก็ติดอยู่หลายโครงการเหมือนกัน ต้องเข้าใจนะครับ ไม่งั้นไปไม่ได้หรอก อยู่แบบเดิมโดยไม่แก้ไข ไม่ปรับปรุงไม่เปลี่ยนแปลงเลย ไปไม่ได้ทั้งหมด ประเทศไทยเราเป็นประเทศที่มีศักยภาพทางด้านการเกษตร ก็ต้องทำทั้งเกษตรอุตสาหกรรม และอุตสาหกรรมที่มีมูลค่าสูง จะเสริมกันทั้งคู่ เลือกอันใดอันหนึ่งไม่ได้หรอกครับ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง สิ่งที่เรามีศักยภาพมีมากมาย    

(2) การเร่งดำเนินการให้เกิดระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก (EEC) หรือเขตเศรษฐกิจพิเศษให้เกิดขึ้นได้โดยเร็วนั้น ก็เพื่อจะเสริมสร้างความเข้มแข็งของการผลิต เพิ่มความเชื่อมโยงอย่างที่กล่าวไปแล้วระหว่างการผลิตสินค้าอุตสาหกรรมขั้นต่างๆ เรามีการเพิ่มการพิจารณาให้สิทธิประโยชน์ เพื่อจะช่วยดึงดูดการลงทุน วันนี้หลายประเทศก็แย่งกันเพื่อจะให้มีการลงทุนให้มากขึ้นในประเทศของตนเราก็ต้องทำเหมือนกัน ทั้งนี้เพื่อจะเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน สร้างงานที่มีคุณภาพให้กับประเทศ เพื่อให้เกิดการพัฒนา

(3) สำหรับธุรกิจขนาดเล็ก ทั้ง SMEs และ Startups ภาครัฐก็เร่งให้การสนับสนุน ทั้งด้านสิทธิประโยชน์ต่างๆ ความช่วยเหลือด้านการเข้าถึงแหล่งเงินทุนที่มีหลายประเภทด้วยกัน จากทั้งภาครัฐ แล้วก็ในส่วนของแหล่งเงินทุนภายนอกหรือกองทุนชุมชนต่างๆในพื้นที่ทั้งหมดก็เอามาขับเคลื่อนเอสเอ็มอีด้วย อันนี้ก็อาจจะต้องกล่าวถึงในเรื่องของการลดหนี้นอกระบบด้วย

ยกตัวอย่างก็มีพื้นที่ที่เป็นโครงการนำร่องได้นะ ที่ผมเห็นประธานกองทุนประจำพื้นที่ของหนองสาหร่ายได้ใช้โครงการที่รัฐบาลได้นำไปสู่การแก้หนี้นอกระบบ นำไปสู่การทำอย่างไรให้มีกองทุนของชาวบ้านในพื้นที่ของตัวเองที่หนองสาหร่าย เพราะทุกคนก็มีหลักประกันก็คือความดีของทุกคนต้องทำเอาไว้ และถ้าทำความดีมากๆเขาก็ได้รับการพิจารณา อันนี้ผมอยากให้เป็นโมเดลในเรื่องของการดูแลตัวเอง ช่วยเหลือตัวเอง การลดหนี้นอกระบบ อยากให้ทุกส่วนราชการไปติดตามดู เอาอันนี้เป็นโมเดลขับเคลื่อนได้โมเดลหนึ่งนะครับ ในการแก้หนี้นอกระบบ เชื่อมโยงกันทั้งหมดนะครับ 

วันนี้ความช่วยเหลือต่างๆก็กำลังเข้ามาทั้งหมด ในเรื่องของแหล่งเงินทุนทั้งบริษัท ห้างร้าน ภาคธุรกิจขนาดใหญ่มีส่วนร่วมในการช่วยเหลือ อาทิเช่น การจัดตั้งบริษัท ประชารัฐรักสามัคคี “ทุกจังหวัด” เพื่อสนับสนุนให้บริษัทเหล่านี้ สร้างนวัตกรรมนำไปใช้ในการเพิ่มผลผลิตอุตสาหกรรม และบริการใหม่ๆ เป็นการเพิ่มรายได้ให้กับประชาชน ธุรกิจ และประเทศชาติโดยรวมนะครับ

ด้านที่สอง คือไทยควรสนับสนุนผู้มีรายได้ต่ำสุด ร้อยละ 40 ของประชากร ด้วยการพัฒนาคุณภาพการศึกษาและเพิ่มทักษะให้กับกำลังแรงงานทั้งระบบ การเพิ่มผลิตภาพในภาคเกษตร และการสร้างระบบคุ้มครองทางสังคมที่เข้มแข็งกว่าเดิม นี่เป็นอีกด้านที่รัฐบาลและ คสช. ให้ความสำคัญเป็นอย่างมาก โดยได้มีการ

(1) วางยุทธศาสตร์ในการจัดทำแผนการศึกษาแห่งชาติ 20 ปีนะครับ มันก็เปลี่ยนแปลงได้ตามสถานการณ์น่ะแหละ ก็ได้รับการอนุมัติจาก ครม.ไปเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ก็มุ่งสนับสนุนให้คนไทยมีโอกาสแสวงหาความรู้ในทุกช่วงวัยอย่างเต็มศักยภาพ และก็สามารถเรียนรู้ได้ด้วยตนเองตลอดชีวิต เพิ่มทักษะ มีคุณธรรม จริยธรรม เพื่อให้สามารถปรับตัวเข้ากับภาวะแวดล้อมใหม่ๆได้ ไปดูนะครับรายละเอียดมีเยอะแยะเลย มีหลายกิจกรรม

2) การสนับสนุนการทำเกษตรแปลงใหญ่ ทั้งนี้ก็เพื่อจะลดต้นทุนการเพาะปลูก นำเทคโนโลยีใหม่ๆมาปรับใช้ เช่น ใช้ข้อมูลจากดาวเทียมในการวางแผนการผลิต รวมทั้งโครงการประชารัฐ สนับสนุนให้มีการเพิ่มผลิตภาพ เพิ่มมูลค่าให้กับสินค้าเกษตร เพิ่มรายได้ให้แก่เกษตรกร ซึ่งจะช่วยลดปัญหาความเหลื่อมล้ำได้

และ (3) การยกระดับคุณภาพชีวิตของพี่น้องประชาชนผู้มีรายได้น้อย รัฐก็พยายามที่จะจัดให้มีโครงการที่หลากหลาย ตั้งแต่เรื่องการลงทะเบียนผู้มีรายได้น้อย การปฏิรูปสาธารณสุขที่ดำเนินการในทุกมิติ ทั้งในเรื่องการพัฒนาคุณภาพชีวิตของคนทุกวัย โดยมีการเตรียมการ เพิ่มมาตรการการเข้าถึงบริการสาธารณสุขเพื่อรองรับสังคมผู้สูงวัย

ซึ่งผมบอกแล้วว่ามีความสำคัญในระยะต่อไปนี้ เราสูงเป็นอันดับ 2 ในอาเซียนนะครับ และยังต้องดำเนินการเรื่องสวัสดิการของรัฐอีกมากมาย เราก็ยังมีปัญหาเรื่องการหาเงินมาทำให้ดีขึ้น วันนี้เพิ่มภาระไปอีกอันก็คือสังคมสูงวัย มันเป็นภาระรับผิดชอบของรัฐบาลที่ต้องเตรียมการเสียแต่วันนี้ ก่อนที่ช้าไปเพราะเราไม่ได้เริ่มมาก่อน

การพัฒนาสุขภาพเด็กเล็กเช่นกันนะครับ ก็จะกลายเป็นผู้ใหญ่ที่เข้มแข็ง เราต้องดูแลตั้งแต่เล็กๆ รวมทั้งมีการปรับปรุงระบบหลักประกันสุขภาพ เพื่อสร้างความมั่นคงในชีวิตความเป็นอยู่ของพี่น้องประชาชนนะครับ อย่าไปฟังคำบิดเบือนภายนอกที่มันไม่ใช่ ถามเจ้าหน้าที่ ถามหน่วยงานภาครัฐว่ามันเป็นยังไง ประกันสังคมของแต่ละคน แต่ละพวก แต่ละกลุ่ม มันเป็นยังไงนะครับ ไม่งั้นก็ไปฟังคำบิดเบือนเสียหายอีก ก็มีการต่อต้าน มีการประท้วงกันมากมายอย่างเช่นที่ผ่านมา

อีกด้านนะครับ ก็คือการสร้างการเติบโตที่ยั่งยืนและเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม มีการจัดการทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ลดความเปราะบางต่อภัยธรรมชาติและการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ รวมทั้งการส่งเสริมการใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพและพลังงานหมุนเวียน พลังงานทดแทน นี่ก็ถือว่าเป็นหนึ่งในยุทธศาสตร์ 20 ปีของเรานะครับ ที่ภาครัฐให้ความสำคัญอย่างมาก และเรายังขับเคลื่อนอยู่ รัฐบาลสนับสนุนให้การสร้างแหล่งน้ำ แก้มลิงเพิ่มเติมเท่าที่ทำได้ เพื่อจะให้ท้องถิ่นต่างๆ สามารถบริหารจัดการน้ำด้วยตัวเองได้ดีขึ้น สามารถรับมือกับทั้งภัยแล้ง และอุทกภัยได้ ผลผลิตเกิดความเสียหายน้อยที่สุด 

นอกจากนี้ เรายังให้ความสำคัญกับการจัดสรรที่ดิน ซึ่งกำลังเร่งทำให้ครบทุกจังหวัด ทั้งในส่วนของที่ดินทำกินเพื่อให้ประชาชนที่เดือดร้อน มีพื้นที่ทำกินให้ถูกกฎหมาย แต่ขณะเดียวกันก็ต้องดูแลป้องกันการรุกป่าด้วยนะครับ ช่วยกันปลูกป่าไปด้วย ป่า 3 อย่าง ประโยชน์ 4 อย่างนะครับ อย่าลืม

ในเรื่องพลังงาน ภาครัฐก็ได้จัดทำแผนพลังงานระยะยาวเพื่อรองรับความต้องการใช้พลังงานที่จะเพิ่มขึ้นตามกิจกรรมทางเศรษฐกิจ หรือประชากรที่เพิ่มขึ้นทุกวัน โดยพยายามเพิ่มความสมดุลในการใช้เชื้อเพลิงในรูปแบบต่างๆให้ได้มากขึ้นในระยะยาวคงต้องดูรายละเอียดกันนะครับ ว่าอย่างไรดีกว่าอย่างไร บางอย่างมันดีเท่าๆกันน่ะแหละ เพียงแต่ว่ามันจะใช้อย่างไรตามสัดส่วน มีหลายอย่างเข้ามาเกี่ยวกับต้นทุน กับเรื่องราคาการใช้พลังงานอยู่ด้วย การเพิ่มสัดส่วนการใช้พลังงานทดแทน ให้ความสำคัญนะครับ และก็พยายามลดการพึ่งพาประเทศอื่นๆ เพื่อให้ประเทศของเรามีความมั่นคงทางพลังงานไว้ให้ลูกหลานของเราด้วย ก็ต้องฟังข้อมูลทางวิชาการด้วยนะครับ ของส่วนราชการต่างๆ มันเป็นส่วนสำคัญที่จะต้องเอามาพิจารณาไม่ใช่ทุกคนใช้ความรู้สึกอย่างเดียว คิดเอามันไม่ใช่นะครับ พยายามหน่อย ช่วยกันสร้างให้ได้ ทำให้ได้ อะไรก็แล้วแต่ ผมไม่ชี้ชัดว่าจะเป็นอะไรตอนนี้นะ ท่านก็ไปตัดสินกันให้ได้ และท้ายสุดถ้าไม่ได้มันก็ไม่มีไฟฟ้าใช้ ไม่มีพลังงานใช้ แล้วจะไปโทษใครล่ะครับ

ด้านสุดท้าย ที่ธนาคารโลกแนะนำก็คือสนับสนุนให้ไทยเสริมสร้างขีดความสามารถด้านสถาบันให้กับภาครัฐ เพื่อให้การดำเนินการปฏิรูปประเทศในเรื่องที่สำคัญให้บรรลุผลสำเร็จ ซึ่งรัฐบาลพยายามจะทำให้เกิดขึ้นในทุกมิติ มีการปรับปรุงกระบวนการทำงานของภาครัฐให้มีประสิทธิภาพ อันนี้ก็อยู่ในยุทธศาสตร์หนึ่งในยี่สิบปีด้วยเหมือนกันการบริหารราชการ การทำงานของภาครัฐนะครับ 

เรื่องของการนำเทคโนโลยีมาพัฒนาระบบ และนำข้อมูลมาใช้แบบบูรณาการ เพื่อวิเคราะห์และวางนโยบายมากขึ้น มีการเร่งสร้าง และพัฒนาบุคลากร โดยเฉพาะในกลุ่มที่จะมีบทบาทสำคัญในการช่วยขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ เพื่อให้เข้าใจ มีวิสัยทัศร่วมกัน ตระหนักถึงความสำคัญ และความเร่งด่วนในการแก้ปัญหา ขณะเดียวกันก็มีการปรับระบบการทำงานภาครัฐไปด้วย ทั้งนี้ เพื่อป้องกันการทุจริตโดยเฉพาะเรื่องการจัดซื้อจัดจ้าง ที่วันนี้เราก็ได้แก้ไขดำเนินการคืบหน้าไปมากแล้วนะครับ

นอกจากนั้นรัฐบาลก็ยังให้ความสำคัญกับการเร่งปรับปรุงกฎหมายและกระบวนการยุติธรรม ทั้งนี้เพื่อให้ทันต่อเหตุการณ์ ไม่ได้ทำเพื่อไปรังแกใครนะครับ ทั้งนี้เพื่อป้องกัน กฎหมายผมอยากให้ใช้ในเชิงป้องกันมากกว่าให้คนเกรงกลัวให้คนเข็ดหลาบ ไม่อยากทำเพราะถ้าไม่มีกฎหมาย หรือมีแล้วใช้ไม่ได้ มันก็ไม่เกิดประโยชน์ คนก็ยังฝ่าฝืนกันทุกวันนี่ หลายคนก็มากล่าวอ้างในสิ่งที่ทุกคนก็ทราบดีอยู่ คงได้ยินนะออกมาพูดๆกัน เพราะฉะนั้นถ้าหากเรามีการปรับกระบวนการทำงานของภาครัฐให้โปร่งใสมากยิ่งขึ้น เราก็จะช่วยสร้างความเชื่อมั่นให้กับนักลงทุน และเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของของประเทศต่อไปอีกด้วย

นี่เป็นตัวอย่างสำคัญในอีกหลายๆอย่างของโครงการอีกหลายโครงการที่ภาครัฐและ คสช. กำลังดำเนินการอยู่ ผมเชื่อว่าเรายังมีอีกหลายๆโครงการ เป็นร้อยนะครับ ที่จะตอบโจทย์การแก้ไขปัญหาประเทศ และยกระดับความเป็นอยู่ของพี่น้องประชาชน หลายเรื่องเราต้องใช้เวลา ต้องใช้งบประมาณที่จำกัด และสิ่งสำคัญก็คือเราต้องการความเข้าใจ และความร่วมมือจากพวกเราทุกคน ผมก็หวังเป็นอย่างยิ่งว่าในช่วงต่อจากนี้ พวกเราจะช่วยกันวางรากฐานการปฏิรูปประเทศให้ได้อย่างเป็นรูปธรรม เป็นแนวทางที่ให้ภาครัฐ นำไปดำเนินการต่อให้เกิดผลสำเร็จ ที่ทำมาร่างมาทั้งหมดก็เดี๋ยวต้องไปสร้างงานเรื่องศาสตร์เรื่องปฏิรูปต่างๆมันต้องไปฟังความคิดเห็นด้วยนะ ไม่ใช่รัฐบาลคิดแล้วก็สั่งๆ มันก็ไปไม่ได้อีก ขั้นตอนต่อไปนี้หลังจากทำเรียบร้อยแล้วก็จะส่งให้ประชาชนนั้นไปอะไรล่ะ สร้างการรับรู้นะครับ ทำความเข้าใจ อาจจะเสริมโน่นเสริมนี่มาก็ผมยินดีรับนะครับ ทำให้เกิดความสำเร็จในระยะยาว แล้วก็จะถือเป็นความร่วมมือเป็นความสำเร็จของประชาชนทุกคนร่วมกันนะครับ หลายกิจกรรมที่ผมพูดมาทั้งหมด มันเกี่ยวข้องกันทั้งหมดเชื่อมโยงหลายอย่าง อย่าคิดสั้นๆคิดแคบๆ หรือคิดไม่เป็นระบบ มันก็ไม่เข้าใจกัน คิดให้ยาวอีกสักนิดหนึ่งนะครับ มีความตั้งใจ มีสมาธิในการฟัง ในการคิด ในการพูด มันก็จะทำให้เรามีการพัฒนาตัวเอง แล้วเราก็ไม่ถูกใครเข้ามาชักจูงไปทำในสิ่งที่ไม่ถูกต้องนะครับถึงจะสำเร็จ

สำหรับนโยบายด้านการเกษตรของรัฐบาลนี้ ได้กำหนดเป้าหมาย “ปลายทาง” คือ เกษตรกรไทยมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น – มีรายได้เพิ่มขึ้น – มีหนี้สินลดลง, มีฐานะทางสังคมที่ดี และมีความภาคภูมิใจในอาชีพกสิกร โดยสิ่งที่รัฐบาลและกระทรวงเกษตรฯ กำลังดำเนินการอยู่ คือ

(1) การทำให้ต้นทุนการผลิตลดลง

(2) การเพิ่มมูลค่าและคุณภาพของสินค้าเกษตร ด้วยการแปรรูปและสร้างนวัตกรรมใหม่ๆ 

(3) การสร้างเครือข่าย – เชื่อมโยง – หาตลาดรองรับที่สมดุลกันระหว่าง “Demand   Supply” โดยขับเคลื่อนด้วยหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง, การบูรณาการงาน ทั้ง Agenda + Function และ Area Base พื้นที่ท้องถิ่นด้วยนะครับ ตามศักยภาพด้วย รวมทั้งการส่งเสริมทางเทคโนโลยี นวัตกรรม และองค์ความรู้ เป็นที่มาของการกำหนดนโยบาย มาตรการ โครงการและกิจกรรมด้านเกษตรกรรมต่างๆที่สำคัญ อาทิเช่น

(1) โครงการศูนย์การเรียนรู้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตสินค้าเกษตร (ศพก.)

(2) การส่งเสริมการเกษตรแบบแปลงใหญ่

(3) การบริหารจัดการพื้นที่เกษตรกรรม (อย่างที่เราคุ้นเคยกัน คือ “Agri-map”) 

(4) การส่งเสริมการทำเกษตรอินทรีย์ เพื่อการรักษาสุขภาพ และอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม

(5) การเกษตรทฤษฎีใหม่ ตามแนวทาง “5 ประสาน” ลักษณะเดียวกับกลไก “ประชารัฐ” คือ ความร่วมมือกันระหว่างภาครัฐ – เอกชน – สถาบันการศึกษา – ประชาสังคม – และเกษตรกรกลุ่มเป้าหมาย

(6) ธนาคารสินค้าเกษตร ได้แก่ ธนาคารเมล็ดพันธุ์ข้าวชุมชน, ธนาคารข้าว,  ธนาคารปุ๋ยอินทรีย์, ธนาคารโค-กระบือ, ธนาคารผลผลิตด้านการประมง และธนาคารปัจจัยการผลิตหม่อนไหม เป็นต้น

(7) การพัฒนาความเข้มแข็งของสหกรณ์ โดยจัดให้มีระบบควบคุมภายใน กลไกการมีส่วนร่วมของสมาชิกในการดำเนินธุรกิจ และการสร้างเสถียรภาพทางการเงิน ให้กับสหกรณ์ทั้งนี้เพื่อเป็นการยกระดับคุณภาพสหกรณ์ ให้มีมาตรฐานยิ่งขึ้น

(8) การจัดสรรแผนงาน หรือ แผนการผลิตข้าว “ครบวงจร” ประกอบไปด้วยการ กำหนดอุปสงค์ อุปทาน หรือก็คือ ดีมาน ซับพาล, การกำหนดพื้นที่ส่งเสริมการปลูกข้าวให้สอดคล้องกับปริมาณน้ำและการตลาด รวมทั้งการส่งเสริมเกษตรทางเลือก เป็นต้น

(9) การจัดสรรที่ดินทำกิน ตามแนวทางคณะกรรมการนโยบายที่ดินแห่งชาติ (คทช.) ให้ชุมชนดำเนินการในรูปแบบสหกรณ์ ปัจจุบันก็สามารถที่จะนำพื้นที่ที่ถูกบุกรุกคืนมาได้นะครับ ที่ผิดกฎหมายได้แล้ว กว่า 3 แสนไร่

และก็ (10) การพัฒนาระบบส่งน้ำและกระจายน้ำ ที่ผ่านมาสามารถเพิ่มปริมาณน้ำเก็บกักได้ราว 1,800 ล้านลูกบาศก์เมตร, เพิ่มพื้นที่ชลประทานกว่า 1 ล้าน 3 แสนไร่ เป็นต้น ก็ยังไม่พอนะครับ เพียงทำให้เกษตรกรเข้าถึงแหล่งน้ำได้มากขึ้น ทำเกษตรได้ผลดีมากขึ้นในพื้นที่ที่สามารถกักเก็บน้ำไว้ได้มากเพียงพอหรือส่งน้ำได้นะครับ ที่ทำได้แล้วจะเพิ่มรายได้กว่า 2,500 บาทต่อไร่ต่อปี

สิ่งที่กล่าวมานั้นเป็นแค่ส่วนหนึ่งของ “การปฏิรูปด้านเกษตรกรรมของไทย” อย่าไปฟังใครที่บอกว่ารัฐบาลนี้จะไปเอื้อประโยชน์ให้กับคนรวย เอื้อประโยชน์ให้กับธุรกิจอุตสาหกรรม ไม่ดูแลเกษตรกร นี่เฉพาะกิจกรรมเกษตรกรรมก็มากมาย เราก็ต้องดูทั้งเศรษฐกิจฐานราก เกษตรกรผู้มีรายได้น้อย ขณะเดียวกันก็ต้องไปดูแลผู้มีรายได้ปานกลาง รายได้สูงหรือข้ามชาติด้วย เพราะมันเอื้อกันทั้งหมดนะครับ เราจะทำอย่างไรเพื่อจะให้มันมาต่อยอดกันให้ได้ ในเรื่องของรายได้ สำหรับด้านการปฏิรูปด้านเกษตรกรรมของไทยนั้น วางรากฐานไว้มากมาย เมื่อสักครู่ลืมไปเรื่องหนึ่งคือเรื่องของการปรับเปลี่ยนการปลูกพืชนะครับ หลายๆพื้นที่อาจจะต้องปรับเปลี่ยนให้ได้โดยเร็วเพราะว่ามันจะเสียหายอย่างเช่นในกรณีภัยแล้ง นาข้าวนาปรังประมาณ 2.2 ล้านไร่ ที่ปลูกเกินมานี้มันเสี่ยงต่อการเกิดความเสียหายทั้งสิ้น รัฐบาลก็เคยเตือนไปแล้วล่ะ คราวนี้หลายคนก็ยังไม่เข้าใจ หลายคนก็ยังไม่เปลี่ยนแปลง ทั้งๆที่เราก็มีวิธีการแก้ปัญหาให้ว่า เราไม่ได้ห้ามนะ เพียงแต่ว่าช่วงนี้อย่าเพิ่งปลูกเลย เปลี่ยนไปปลูกอย่างอื่นได้ไหม ถ้าไม่เชื่อฟังมันก็เสียหาย แล้วเสียหายแทนที่รัฐบาลจะเอาเงินเหล่านี้มาปรับปรุงในเรื่องอื่นๆก็มาเสียค่าชดเชยในเรื่องที่มันเสียหายโดยไม่จำเป็น แต่เราเข้าใจว่ายังไงชาวนาก็ต้องมีเงินใช้ ก็ต้องหาวิธีการอื่น ไม่ใช่ว่าห้ามไม่ให้ปลูกข้าวแล้วไม่มาบอกว่าจะให้ทำอะไร อันนี้ไม่ใช่เลยนะครับ เพราะฉะนั้นอย่าไปเชื่อฟังคนบิดเบือน มีแต่ว่าต้องไปหาเจ้าหน้าที่เขา มีทุกอำเภอทุกจังหวัด ผู้ว่าราชการจังหวัดเป็นผู้รับผิดชอบที่จะต้องแก้ปัญหาเหล่านี้ให้ได้ เรื่องการทำเกษตรแปลงใหญ่ เรื่องการรับการสนับสนุนต่างๆจากรัฐบาล มีหลายโครงการลงไปแล้ว หลายคนหลายท่านก็ไม่ทราบ

รัฐบาลมีงานอีกมากนะครับที่ต้องดำเนินการ โดยเฉพาะทำอย่างไรให้เกิดความยั่งยืนให้แก่เกษตรหรือเกษตรกร เราจะต้องสร้างเกษตรกรไทยยุคใหม่ ที่เรียกว่า “Smart Farmer”  ในขณะที่ข้าราชการกระทรวงเกษตรฯ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ก็ต้องได้รับการพัฒนาศักยภาพ ให้เป็น “Smart Officer” ก็ทุกกระทรวงนั้นล่ะครับต้องไปด้วยกันทั้งประชาชนแล้วก็ข้าราชการต้องเป็น “Smart Farmer” ประชาชนก็เป็น “Smart Prople” ควบคู่ไปกับการยกระดับสถาบันเกษตรให้เข้มแข็ง และที่ต้องไม่ลืม คือ การปรับปรุงกฎหมายให้ทันสมัย กฎกระทรวงต่างๆ ที่มันล้าสมัยบางอย่างก็หลายสิบปีมาแล้วต้องแก้ไขทั้งหมด เพื่อจะให้เกิดการพัฒนาและปฏิรูปทางการเกษตรกรรมของไทยด้วย ทั้งนี้ก็ขอความร่วมมือจากกลไกประชารัฐทั้งหมดนะครับ

พี่น้องประชาชนครับ

วันนี้รัฐบาลและคสช. คำนึงถึงการปกครองประเทศ ตามระบอบประชาธิปไตย ซึ่งเราต้องการกำลังก้าวไปสู่เป็นประชาธิปไตยที่มีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข แล้วก็ “สิทธิมนุษยชน” อันเป็นหลักการสากล ต้องเคารพนะครับ ต้องปฏิบัติ แต่วันนี้สถานการณ์ของประเทศปัญหาของประเทศ ผมต้องขอบอกก่อนนิดหนึ่งว่า เราต้องมองปัญหาประเทศของเรา ด้วยความเข้าใจ ไม่ลำเอียงไม่เอาคนอื่นเขามามองตัวเรา เพราะมันเป็นกลไกภายนอกประเทศแต่เราก็ทำตาม ไม่ได้ฝ่าฝืน เว้นแต่บางอย่างเราต้องปรับให้เข้ากับสถานการณ์ของเราในวันนี้ คือในช่วงของการเปลี่ยนผ่านนะครับ เป็นข้อพิจารณาในการบริหารราชการแผ่นดินในปัจจุบัน ทั้งนี้เรากำลังเตรียมการไปสู่การปฏิรูปประเทศ แล้วก็มียุทธศาสตร์ชาติด้วย ฉะนั้นช่วงเวลานี้เป็นช่วงเวลาที่สำคัญ เราอาจมีปัญหาในมุมมองของต่างประเทศ แต่เราก็ต้องยอมรับว่าเรากำลังปฏิรูปประเทศ แล้วเราก็จำเป็นต้องทำเพื่อคนไทยก่อนแล้วก็มิตรประเทศด้วยเพื่อให้รับประโยชน์ร่วมกันด้วยจากสิ่งที่ทำมาทั้งหมด

ก็ขอให้ดำเนินการอย่างระมัดระวัง ผมเสียใจเหมือนกันที่มีคนไทยบางคนบางกลุ่มที่ไม่เข้าใจ บางคนไม่เข้าใจแล้วก็หลายส่วนหลายกลุ่มหลายคนก็สร้างความเสียหายเหล่านี้ไว้ให้ผมแก้วันนี้ เราก็กำลังพยายามแก้ไขอยู่นะครับ แต่ก็เอาเรื่องเหล่านี้ไปประจานที่ต่างประเทศโดยไม่พูดถึงปัญหาที่ตัวเองทำไว้ แล้วก็โยนความผิดต่างๆเหล่านี้ให้กับรัฐบาล ไม่มีความรักประเทศตัวเองเลยนะครับ เป็นคนไทยหรือเปล่า

ผมก็อยากให้พวกเราพยายามหาวิธีการสร้างสิ่งใหม่ๆเกิดขึ้นให้จงได้ วางรากฐานประเทศในอนาคต วิธีการเหล่านี้ จำเป็นต้องใช้ “วิสัยทัศน์” ในการทำงาน มีกระบวนการ มีกฎหมายมาสนับสนุน มารองรับการทำงานต่างๆอย่างเหมาะสม ไม่เช่นนั้นประเทศเราก็จะหยุดอยู่ที่เดิม ไม่มีการพัฒนา แข่งขันใครไม่ได้ รายได้ก็ตกต่ำ เกษตรกรก็เดือดร้อน ผู้มีรายได้น้อยก็ลำบาก นี่คือสิ่งที่รัฐบาลคิดตลอดเวลา สิ่งสำคัญ คือ ประชาชนทุกคน ทุกฝ่ายต้องร่วมมือกันให้มากที่สุด มีความคิดเห็นอะไรก็ส่งมาผมก็จะดูให้เท่าที่จะมากได้ มันก็เหมือนกับ “คอมพิวเตอร์” นั่นแหละ วันนี้เราก็ใช้กันมากมาย ถ้าเรามีคอมพิวเตอร์แล้วไม่เชื่อมต่อ “อินเตอร์เน็ต” มันก็ไม่เกิดเครือข่าย ถ้าเกิดเครือข่ายได้ ก็เกิดประโยชน์สูงสุด ใช้ประโยชน์ได้เต็มที่ ถ้าเราคิดแบบเดิม ไม่เปลี่ยนแปลงตนเอง ไม่ขวนขวายหาความรู้ใหม่ ไม่สร้างนวัตกรรมอะไรใหม่ๆ มันก็เสียโอกาส “ตกยุค – ตกขบวน” หรือหากเราเชื่อฟังคำบิดเบือน ข้อโต้แย้งโดยไม่ตั้งสติให้ดี ไม่มีหลักคิดไม่ใช้สติปัญญา คิดใคร่ครวญให้ดีนะครับ การคิดการตัดสินใจก็จะผิดเพี้ยน บิดเบี้ยว ถูกชี้นำในทางที่ไม่ถูกต้อง

สิ่งใหม่ๆที่ทุกคนต้องการดีกว่าก็ไม่เกิด ความพยายามที่จะลดความเหลื่อมล้ำก็ไม่สำเร็จ, เศรษฐกิจของประเทศก็ไม่ดีขึ้น, วันนี้ก็มีแต่พูดกันมาแล้วก็ไม่เคยทำนะ วันนี้เราพยายามทำทุกอย่างที่ท่านพูดมาแล้วไม่ทำหลายคนนะ ฉะนั้นคุณภาพชีวิตของพี่น้องประชาชนเราต้องการให้ได้รับการยกระดับ, รัฐบาลก็ต้องหารายได้ให้เพียงพอในการจัดสวัสดิการรัฐ สวัสดิการให้กับทุกคน – ทุกกลุ่ม ทั้งกลุ่มผู้สูงอายุด้วยนะครับ หากว่าเราฟังคำบิดเบือนมากมาย โดยไม่พิจารณาให้ถ่องแท้ มันก็เหมือน “การกินยาพิษ กินยาแทนที่จะรักษามันก็จะเป็นการกินยาผิดขนานเข้าไป กินยาผิดซอง” นอกจากจะไม่รักษาโรคแล้วก็เกิดโรคตามมา โรคเก่าก็แก้ไม่ได้ โรคใหม่ตามมาอีก เหมือนกับไม่ให้ รัฐบาล คสช. แก้ปัญหาเก่าๆ แต่ก็อยากให้ทุกอย่างดีขึ้น เร็วขึ้น อยากให้อยู่อย่างสบายที่สุด

ในปัจจุบันมันเป็นไปไม่ได้หรอกครับ มันต้องลำบากกันบ้างในช่วงการเปลี่ยนแปลงอย่างนี้แต่จะให้มันเดือดร้อนน้อยที่สุดก็แล้วกัน ทั้งเศรษฐกิจ พลังงาน สาธารณูปโภคพื้นฐาน ถนน ท่าเรือ อะไรต่างๆมีปัญหาไปซะทั้งหมด เขาเคยชินกับการไม่ต้องเคารพกฎหมาย ทำไปโดยอิสรเสรีแล้วก็บอกว่า เพราะว่าเป็นคนจนรายได้น้อย คนรายได้น้อยสำคัญ แต่กฎหมายก็ต้องได้รับการเชื่อถือ เชื่อมั่น แล้วกฎหมายก็ต้องทำให้ทุกอย่างเกิดความเท่าเทียมไม่ว่าจะคนรวยคนจนอะไรก็แล้วแต่ต้องอยู่ภายใต้กฎหมายเดียวกัน แล้วก็กฎหมายนี้จะเป็นตัวจำกัดให้ทุกอย่างมันเผยแพร่ไปถึงทุกคนๆได้นะครับ เพราะฉะนั้นการกล่าวอ้างประชาธิปไตยและสิทธิมนุษยชน “ที่ไร้ขอบเขต” แต่กลับไปละเมิดสิทธิผู้อื่น และละเมิดกฎหมายบ้านเมือง บ้านเมืองพัฒนาไม่ได้ อันนี้ไม่ใช่ตรรกะที่ถูกต้องนะครับ นี่เราก็ต้องส่งคนไปชี้แจงที่องค์กรระหว่างประเทศด้วย ผมทราบว่ามีผลออกมาในทางที่ดีนะครับ แต่เราก็ยอมรับหลายๆอย่างเราก็ต้องแก้ไขกันต่อไปนะครับ ขอขอบคุณคณะที่ไปทำงานต่างประเทศ ไปทำงานแทนคนไทยทั้งประเทศในการชี้แจง แต่ก็มีคนบางคนบางประเภทเอาไปประจานนะครับ ผมไม่รู้ว่าคนเหล่านั้นเป็นคนไทยหรือเปล่า

สุดท้ายนี้ ผมขอยกย่อง และชื่นชมศาสตราจารย์ ดร.นพ.ประสิทธิ์ วัฒนาภา คณบดีคณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล รองศาสตราจารย์ นพ.กีรติ เจริญชลวานิช ประธานคณะกรรมการดำเนินงาน คณะกรรมการทีมงาน รวมทั้งคณะนักศึกษาแพทย์ศิริราชทุกคน ที่ได้ร่วมกันจัดกิจกรรม “1 ล้าน 5 แสนก้าว วิ่งเพื่อชีวิต เชียงใหม่-ศิริราช” เป็นระยะทางประมาณ 750 กิโลเมตร ที่เริ่มตั้งวันที่ 11มีนาคม มาจนถึงวันนี้ เพื่อหารายได้สร้างอาคาร “นวมินทรบพิตร 84 พรรษา” ซึ่งเป็นอาคารหลังสุดท้ายของ รพ.ศิริราช ที่ในหลวงรัชกาลที่ 9 พระราชทานนาม เพื่อผู้ป่วยด้อยโอกาสครับ ต้องขอบคุณสื่อมวลชนทุกแขนงที่ได้ให้ความสำคัญ ช่วยกันส่งเสริมสนับสนุนกิจกรรมดีๆ สร้างสรรค์แบบนี้

ผมก็ได้ติดตามข่าวมาตลอด ดีใจที่เห็นความรัก ความสามัคคี ของพี่น้องคนไทยทุกคน รวมถึงเหล่าศิลปิน ดารา นักร้อง นักแสดง ไม่ว่าจะเป็น เคน–ธีรเดช หน่อย-บุษกร ตูน บอดี้สแลม แอ๊ด-คาราบาว อ๊อฟ- พงษ์พัฒน์ และอีกหลายๆท่านที่ไม่ได้กล่าวนามนะครับ ที่ตลอดเส้นทางก็ได้ร่วมมาออกวิ่งอย่างต่อเนื่องทุกวัน ยอดบริจาคเมื่อวานนี้ทราบว่า 63 ล้านแล้วครับ แม้จะจบกิจกรรมการวิ่งแล้ว พี่น้องประชาชนยังคงร่วมบริจาคต่อไปได้นะครับ ผ่านช่องทางตามหน้าจอข้างล่าง ช่วยกันนะครับ เพื่อเป็นการสานต่อพระราชปณิธานของในหลวงรัชกาลที่ 9 ที่ต้องการให้คนไทยมีสุขภาพดีถ้วนหน้า และเป็นการแสดงความจงรักภักดีต่อสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว มหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูร อีกด้วยครับ

ขอบคุณครับ ขอให้ “ทุกคน” มีความสุข ในช่วงวันหยุดสุดสัปดาห์สวัสดีครับ

Tag :