นางนันทวัลย์ ศกุนตนาค อธิบดีกรมการค้าภายใน เปิดเผยว่า กรมฯได้ศึกษาค่าไฟฟ้าผันแปร (เอฟที) ที่เพิ่มขึ้นอีก 3.70 % ในเดือนพ.ค.-ส.ค.ที่จะถึงนี้ พบว่าจะมีผลกระทบต่อราคาต้นทุนการผลิตสินค้าโดยรวม 0.0002-0.266% ซึ่งถือว่าน้อยมาก ดังนั้นกรมฯจะไม่ให้ผู้ประกอบการปรับขึ้นราคาสินค้าและยืนยันว่าจนถึงขณะนี้ยังไม่มีผู้ประกอบการรายใดยื่นขอปรับขึ้นราคาสินค้าแต่อย่างใด แต่หากมีเข้ามาก็จะไม่ให้ปรับขึ้น และราคาสินค้าอุปโภคบริโภคจะยังทรงตัวต่อเนื่อง จากวัตถุดิบสำคัญที่ต้องนำเข้าจากต่างประเทศ ยังมีราคาเท่าเดิม ประกอบกับเงินบาทแข็งค่าขึ้นทำให้ราคาสินค้านำเข้าลดลง แต่หากราคาน้ำมันเชื้อเพลิงปรับตัวสูงขึ้น ก็อาจส่งผลต่อต้นทุนและราคาสินค้าได้ ซึ่งกรมฯจะติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด “ต้นทุนการผลิตสินค้าที่เพิ่มขึ้นถือเป็นสัดส่วนที่น้อยไม่ถึง 1 % ดังนั้นจึงไม่ใช่เหตุผลที่ผู้ประกอบการจะนำเรื่องดังกล่าวมาขอขึ้นราคาได้ นอกจากนั้นช่วง 2 ปีที่ผ่านมาหรือตั้งแต่ปี 58 ภาครัฐได้ปรับลดค่าเอฟทีลงไป 39 สตางค์ตามราคาน้ำมันที่ลดลง แต่ขณะนี้ค่าแก๊สเพิ่มขึ้นจึงมีการปรับค่าเอฟทีขึ้น และหากเทียบกับการขึ้นค่าเอฟที 12.52 % ครั้งนี้ ก็ถือว่ายังขึ้นไปไม่เท่ากับการค่าเอฟทีที่ลงไปก่อนหน้านี้ หรือว่ายังเป็นค่าเอฟทีที่ลดลงจากเดิม 11-12 สตางค์เท่านั้น หากผู้ประกอบการรายใดต้องการขึ้นราคาสินค้า จะเรียกมาคุยกันว่าเพราะเหตุใด” นอกจากนั้นกรมฯได้ศึกษาเปรียบเทียบราคาสินค้าไทยและเพื่อนบ้านอาเซียน ก็ยืนยันว่าราคาสินค้าอุปโภคบริโภคในปัจจุบันส่วนใหญ่ราคายังทรงตัว และราคาสินค้าไทยต่ำกว่าประเทศเพื่อนบ้านอาเซียน เช่น สินค้าหมดอาหารสด ไข่ไก่เบอร์ 3 ราคาฟองละ 2.70 ถึง 2.80 บาท ต่ำกว่าช่วงเดียวกันของปีก่อน ที่ราคาฟองละ 3.00 บาท ไก่สด กก.ละ 75- 80 บาทเพิ่มขึ้นกิโลกรัมละ 5 บาทจากปีก่อน เนื่องจากโรงงานหยุดผลิตในช่วงเทศกาลสงกรานต์ ส่วนเนื้อหมูราคา กก.ละ 135-140 บาท เพิ่มขึ้นจากเดือนก่อนกก.ละ 10 บาท จากสภาพอากาศร้อนจัด ทำให้หมูโตช้า ส่วนสินค้าอุปโภคบริโภค เช่น น้ำมันปาล์มบรรจุขวด 1 ลิตรขวดละ 38- 40 บาท ลดลงจากเดือนที่ผ่านมา 1-2 บาท สบู่ ยาสีฟัน และผงซักฟอก ราคายังคงเดิม ยกเว้นเพียงสินค้าหมดน้ำมันเชื้อเพลิง เช่น น้ำมันเบนซิน น้ำมันดีเซล และก๊าซหุงต้ม ราคาเพิ่มขึ้นกว่าช่วงเดียวกันของปีก่อนเล็กน้อยตามราคาในตลาดโลก