เคล็ด(ไม่)ลับ ปรับ 3 อย่างนี้สุขภาพดี เชื่อเถอะ !

by ThaiQuote, 30 มิถุนายน 2560

     “สุขภาพดี” คือสิ่งที่หลายคนปรารถนา บางคนบังคับตัวเองทานอาหารเพื่อสุขภาพ หรือ Clean food (คลีนฟู้ด) บางคนมุ่งมั่นเข้าฟิตเนสเช้าเย็น ทำกันมาหลายปีแต่สุขภาพยังคงเหมือนเดิม เพราะแท้จริงแล้วการดูแลสุขภาพให้แข็งแรงมีเคล็ดลับง่าย ๆ เพียงแค่ “ปรับ 3 พฤติกรรม” เท่านั้นรับประกันว่าสุขภาพดีชัวร์ ส่วนจะต้องปรับอะไรกันบ้างไปดูกัน

          แพทย์หญิงสุจิตรา นภาธร ผู้เชี่ยวชาญด้านอายุรกรรม, ผิวหนัง เวชศาสตร์ชะลอวัยและเวชศาสตร์ครอบครัว และกรรมการบริหาร ศูนย์การค้าธัญญาพาร์ค ศรีนครินทร์กล่าวว่า ปัจจุบันนี้ผู้คนหันมาสนใจและใส่ใจในสุขภาพร่างกายของตัวเองมากขึ้น ด้วยเหตุผลมากมาย เช่นต้องการให้รูปร่างดี ต้องการมีชีวิตที่สดใสแข็งแรง ห่างไกลจากโรคภัยไข้เจ็บต่าง ๆ ทำให้เรามีโอกาสได้เห็นการนำเสนอเคล็ดลับวิธีดูแลสุขภาพในรูปแบบต่าง ๆ มากมาย ซึ่งบางวิธีอาจเหมาะกับบางคนแต่ไม่เหมาะกับบางคน เมื่อทดลองแล้วไม่เห็นผลตามต้องการก็จะเกิดความท้อแท้ และเลิกล้มความตั้งใจนั้นไป เพราะแท้จริงแล้วการมีสุขภาพที่ดีไม่ใช่แค่การออกกำลังกายหรือการเลือกรับประทานอาหาร แต่ต้องให้ความสำคัญและเข้าใจระบบกลไกการทำงานพื้นฐานของร่างกายด้วย

          ดังนั้นเทคนิคง่าย ๆ สำหรับการสร้างสุขภาพร่างกายให้แข็งแรง คือ การปรับเปลี่ยนพฤติกรรม 3 ด้านเพื่อให้สอดคล้องกับกลไกการทำงานของร่างกาย และจำเป็นต้องมีวินัยในการปฏิบัติ

          เริ่มต้นที่ “ปรับกิน” หมายถึง การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการรับประทานอาหาร เน้นให้ครบทั้ง 5 หมู่ ตามที่เคยเรียนมาในสมัยเด็ก ไม่ควรเลือกรับประทานอาหารหมู่ใดหมู่หนึ่งเพียงอย่างเดียว หรือรับประทานอาหารแบบซ้ำเดิมทุกวัน เพราะจะทำให้ร่างกายได้รับสารอาหารไม่ครบหมู่ อาทิความเชื่อเรื่องการทานอกไก่ช่วยเสริมกล้ามเนื้อซึ่งช่วยได้จริง แต่หากรับประทานอาหารโปรตีนสูงเพียงอย่างเดียวนอกจากจะทำให้ร่างกายขาดสารอาหารแล้ว ยังอาจจะกระตุ้นให้ร่างกายเกิดโรคบางชนิดขึ้นได้ อย่างเช่น โรคเกาท์ ไตเสื่อม และสิ่งสำคัญที่สุดคือควรรับประทานอาหารให้ครบทั้ง 3 มื้อ เน้นมื้อเช้าและลดประมาณการทานอาหารเย็น โดยแต่ละมื้อควรเลือกอาหารที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย แคลอรี่ต่ำ อาทิ เนื้อปลารวมไปถึงการรับประทานปลาตัวเล็ก งาดำ เต้าหู้ ผักชนิดต่างๆ และสมุนไพร เช่น เมนูยำแซบซีฟู้ดแซลมอน หรือซีฟู้ดสลัดโรล และควรทานกับน้ำสลัดแบบใสไม่หวานจะดีต่อสุขภาพมากกว่าแบบครีม เป็นต้น

          ส่วนผลไม้ควรเลือกที่มีกากใยไม่หวานจัดเพื่อช่วยในระบบการขับถ่าย เน้นทานตามรูปแบบธรรมชาติของผลไม้ชนิดนั้น อาทิ ส้มควรทานเป็นชิ้นด้วยการเคี้ยวจะได้ประโยชน์มากกว่าทานแบบคั้นเป็นน้ำ เพราะร่างกายจะค่อย ๆ ได้รับปริมาณน้ำตาลจากส้ม แต่หากดื่มเป็นน้ำส้มคั้น ปริมาณน้ำตาลที่ได้รับจะสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว ซึ่งอาจส่งผลเสียต่อร่างกายได้

          นอกจากนี้ควรทานวิตามินเสริม เนื่องจากวิตามินบางชนิดที่ร่างกายต้องการไม่มีอยู่ในอาหารเช่น วิตามินดี (Vitamin D) ที่จะได้จากแสงแดด และถือเป็นวิตามินที่สำคัญต่อร่างกาย ช่วยเสริมสร้างกระดูก ป้องกันการเกิดโรคหัวใจ และมะเร็ง เป็นต้น แต่ในร่างกายคนไทยกลับขาดวิตามินชนิดนี้มากที่สุด เพราะไม่กล้าเผชิญแสงแดด อีกทั้งแสงแดดปัจจุบันก็มีปริมาณรังสียูวี เอ (UV A)และ ยูวี บี (UV B) เพิ่มมากขึ้น และควรเริ่มทานวิตามินเสริมตอนอายุ 30-35 ปี ประเภทAntioxidant เช่น Astaxanthin ซึ่งช่วยชะลอความเสื่อมของเส้นเลือด ตา และผิวหนัง

          ส่วนการ "ปรับฟิต" แพทย์หญิงสุจิตรา บอกว่า คือการปรับรูปแบบการออกกำลังกายโดยเน้นการบริหารมัดกล้ามเนื้อในร่างกายที่มีกว่า 300 มัด ด้วยเทคนิคง่ายๆ คือ การเล่นกีฬาหรือการใช้เครื่องออกกำลังกายที่หลากหลาย ไม่ซ้ำกัน เพื่อให้กล้ามเนื้อทุกส่วนได้ทำงานเต็มที่ เช่น การเต้นแอโรบิค การเดินวิ่ง ขี่จักรยาน ว่ายน้ำ และมีการยกน้ำหนักสลับกันไป เมื่อกล้ามเนื้อต่างๆ ของเราแข็งแรงแล้ว ระบบการเผาพลาญไขมันและระบบการทำงานในร่างกายก็ดีขึ้นตามลำดับ

          การออกกำลังกายควรทำอย่างน้อยสัปดาห์ละ 3 ครั้ง ครั้งละ 45 นาที ซึ่งช่วงเวลาที่ดีที่สุดในการออกกำลังกาย คือ ช่วงเช้า เพราะฮอร์โมนต่างๆ ที่สำคัญจะหลั่งในช่วงเวลาดังกล่าว ทำให้ร่างกายได้รับประโยชน์จากการออกกำลังกายอย่างเต็มที่ สำหรับผู้ที่ไม่มีเวลาในช่วงเช้า ก็สามารถออกกำลังกายช่วงเย็นได้ แต่ต้องไม่เกิน 19.00 น. เพราะจะทำให้ร่างกายเหนื่อยเกินไป และส่งผลให้เกิดอาการนอนไม่หลับ พักผ่อนไม่เพียงพอ หรืออาจจะเลือกเป็นการออกกำลังกาย ที่เคลื่อนไหวร่างกายอย่างช้าๆ ฝึกเรื่องสมาธิและลมหายใจ อย่างไทชิ และโยคะ เป็นต้น

          สุดท้าย “ปรับนอน” ถือเป็นพฤติกรรมที่สำคัญที่สุดเพราะปัจจุบันมีหลายปัจจัยที่ทำให้คนเรานอนดึก ไม่ว่าจะเป็นความเครียด ติดความบันเทิง ละคร ซีรี่ส์ ฯลฯ ปัจจัยต่าง ๆ เหล่านี้ล้วนส่งผลต่อการทำงานของร่างกายโดยตรง เพราะธรรมชาติของร่างกายจะหลั่งสารโกรทฮอร์โมน (Growth Hormone) ในช่วงเวลาเที่ยงคืนและควรเป็นเวลาที่หลับสนิท สารนี้จะช่วยซ่อมแซมส่วนที่เสียหายต่าง ๆ ช่วยเสริมสร้างให้ร่างกายแข็งแรง และช่วยลดรอยเหี่ยวย่นบนใบหน้าและร่างกาย ดังนั้นเวลาการนอนที่เหมาะสมช้าสุดไม่ควรจะเกิน 23.00 น. เพื่อให้ร่างกายหลับสนิทและพักผ่อนได้เต็มที่” แพทย์หญิงสุจิตรา กล่าวทิ้งท้าย

Tag :