พลิกปูม ลีลา ชีวิต บิ๊กจิ๋ว "โซ่ข้อกลาง -รักอมตะ"

by ThaiQuote, 11 กรกฎาคม 2561

กลายเป็นเรื่องฮือฮา สะท้านวงการเมือง เมื่อ "บิ๊กจิ๋ว" พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ วัย 86 ปี อดีตนายกรัฐมนตรี คนที่ 22 ยอมรับ ได้แต่งงานกับสาวใหญ่ น.ส.อรทัย สรการ ยงใจยุทธ หรือ อรทัย เธียรอุทก อายุ 53 ปี บุตรสาว นายนิพนธ์ สรการ อดีตนายกสมาคมกำนันผู้ใหญ่บ้านสุราษฎร์ธานี และ อดีต ส.ว. พร้อมปรากฏภาพในโซเชียล เป็นภาพคู่ พล.อ.ชวลิต กับ น.ส.อรทัย พร้อมข้อความระบุว่า “ความสุขและบั้นปลายชีวิตที่เหลืออยู่/ดูแลใส่ใจ-เป็นกำลังใจให้ท่านอย่างที่สุด” บิ๊กจิ๋ว ยอมรับว่า แต่งงานกับหญิงคนดังกล่าวจริง เมื่อประมาณ 10 ปีที่ผ่านมา แต่เพิ่งจดทะเบียนสมรส เมื่อ 19 พ.ค.2561 โดยหย่าขาดกับ คุณหญิงพันธุ์เครือ ยงใจยุทธ ภริยาเก่า เรียบร้อยแล้ว และได้ย้ายออกจากบ้านพักซอยปิ่นประภาคม มาซื้อบ้านใหม่ย่านเกษตร-นวมินทร์ เพื่ออยู่กินกับ น.ส.อรทัย ภาพที่ปรากฏทางโซเชียลนั้นไม่ได้ออกมาจากคนรักของตน แต่น่าจะออกมาจากผู้ไม่หวังดี คนรักใหม่มีความใกล้ชิดและดูแลตนมาตลอดช่วงที่สุขภาพไม่แข็งแรง จึงเกิดความใกล้ชิด รู้ใจกัน ตกลงใจอยู่ร่วมกันแบบสามีภรรยา โดยให้เกียรติฝ่ายหญิงและพาออกงานสังคมด้วยตลอด หากจำกันได้ เมื่อประมาณเดือน ส.ค. ปี 2550 พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธหรือบิ๊กจิ๋ว อดีตนายกรัฐมนตรี หรืออีกฉายาที่โด่งดัง ขงเบ้งกองทัพบก ประกาศตัวขอเป็นโซ่ข้อกลางประสานปัญหาความขัดแย้งทางการเมืองในสังคมไทย และ อีก 1 เหตุการณ์ ที่คนไทยยังจำได้ไม่มีวันลืม ของ พล.อ.ชวลิต โดยเฉพาะในแวดวงเศรษฐกิจ ช่วงวิกฤติเศรษฐกิจปี พ.ศ.2540 “ต้มยำกุ้ง” บิ๊กจิ๋ว ในฐานะนายกรัฐมนตรี ได้ประกาศลอยตัวค่าเงิน หลังเกิดเหตุการณ์วิกฤติ พ่อใหญ่จิ๋ว หรือ บิ๊กจิ๋ว ประสบชะตากรรมทางการเมืองครั้งใหญ่ ถูกกล่าวหาว่าเป็น “อัลไซเมอร์” ถึงขั้นจะแนะนำให้หมอมาตรวจ พล.อ.ชวลิต เริ่มเข้าสู่เส้นทางการเมืองหลังลาออกจากตำแหน่ง ผบ.ทบ. และ ผบ.สส.ก่อตั้งพรรคความหวังใหม่ มีดอกทานตะวัน เป็นสัญลักษณ์โดดเด่น และเป็นพรรคที่มีผู้สนับสนุนมากที่สุดในภาคอีสาน พรรคความหวังใหม่ชนะเลือกตั้งเมื่อปลายปี พ.ศ. 2539 พล.อ.ชวลิต ขึ้นดำรงตำแหน่ง นายกรัฐมนตรีคนที่ 22 มีลีลาการให้สัมภาษณ์นุ่มนวล พร้อมคำลงท้ายการให้สัมภาษณ์ "นะจ๊ะ" จนเป็นที่มาของฉายา "จิ๋วหวานเจี๊ยบ" พล.อ.ชวลิต ถูกจับตามองอีกครั้ง หลังเหตุการณ์รัฐประหารปี พ.ศ. 2549 พล.อ.ชวลิต เสนอตัวเป็นผู้ไกล่เกลี่ยทำความเข้าใจระหว่างกลุ่ม ต่อต้าน และ กลุ่มสนับสนุน ทักษิณ ชินวัตร โดยเรียกบทบาทตัวเองว่า "โซ่ข้อกลาง” หลังจากออกตัว เป็นโซ่ข้อกลาง ก็ถูกสื่อมวลชนจับตามอง ว่า พล.อ.ชวลิต จะเป็น "โซ่ข้อกลาง" ประสานความขัดแย้ง หรือ เป็น"โซ่ขึ้นสนิม" กันแน่ ต่อมาพล.อ.ชวลิต ตัดสินใจอยู่กับพรรคเพื่อไทย จึงถูกถามถึงประเด็น โซ่ข้อกลาง พล.อ.ชวลิต ตอบว่า สื่อมวลชนเป็นคนบอกเองว่า โซ่สนิมขึ้นหมดแล้ว ตนเป็นคนเสนอ โซ่ข้อกลาง เพื่อเป็นทางออก แต่ทำไม่ไหว จึงต้องเลือกวิธีมาอยู่กับฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดของคู่ขัดแย้ง "นโยบายของผมในการทำงานการเมืองต้องใช้หลักที่ใช้มาในอดีต คือ วางตัวเป็นกลาง สร้างสันติภาพ ความเข้าใจให้เกิดขึ้นหรือทฤษฎีดอกไม้หลากสี ให้เห็นว่าคนเรานั้น ต้องอยู่ร่วมกันได้ เหมือนแจกันที่ต้องมีดอกไม้สีต่างๆ ประกอบเพื่อให้สวย พร้อมนำความสามัคคีให้เกิดขึ้น และ ด้วยทฤษฎีโซ่ข้อกลาง โดยดึงทั้งสองฝ่ายมาร่วมกัน ถ้าจำเป็นก็ต้องใช้รัฐบาลเฉพาะกาล แต่โซ่ข้อกลางก็ไม่ประสบความสำเร็จ โดนคนด่าอีกว่าโซ่ขึ้นสนิม" เป็นคำกล่าว ของ บิ๊กจิ๋ว อย่างตรงไป ตรงมา ปิดฉากตำนาน "โซ่ข้อกลาง" แต่ได้เปิดตำนาน "รักอมตะ" ในวัยบั้นปลายของชีวิต !
Tag :