มาแล้ว! "เรื่องเล่าในคุก" ชูวิทย์ ประเดิมตีแผ่สังคม

by ThaiQuote, 23 กรกฎาคม 2561

หลังจาก นายชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ นักจัดรายการชื่อดัง และ อดีตนักการเมือง ถูกศาลศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่ง ทางการเมือง มีคำพิพากษาตัดสินจำคุก ในคดีแสดงบัญชีทรัพย์สินและหนี้สินเป็นเท็จ ซึ่งคดีนี้เป็นคดีตั้งแต่สมัยที่นายชูวิทย์ เป็น นักการเมืองอยู่ที่พรรคชาติไทย โดยได้พิพากษาจำคุกเป็นเวลา 1 เดือน และ พ้นโทษไปเมื่อวันที่ 21 มิ.ย.61 โดยระบุว่า จะนำ"เรื่อง เล่าในคุก"มาเผยแพร่ให้สาธารณชน ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ นำเรื่องราวของตัวเองในช่วงที่อยู่ในเรือนจำ "เรื่องเล่าในคุก" ตอนที่ 1 มาเปิดเผยแล้ว ระบุว่า 30 วันในคุก “ชั่วเจ็ดที ดีเจ็ดหน” คนเขาบอกว่า “คนเรานั้นไม่ตายก็ติดคุก”ชีวิตผมผ่านเรื่องเป็นเรื่องตายมาหลายครั้ง หลายหนยังเอาตัวรอดมาได้ แต่เรื่องคุกเรื่องตารางนั้นไม่รอด รอบนี้นับได้เป็นรอบที่สาม รอบแรก ประกันตัวไม่ได้เมื่อปี 46 รอบสอง คดีรื้อบาร์เบียร์เข้าไปติดปี 59 ได้อภัยโทษ 2 ครั้งในปีเดียวกัน ถือเป็นพระมหา กรุณาธิคุณอย่างหาที่สุดมิได้ โทษ 2 ปี ติดแค่ 10 เดือน รอบนี้รอบที่สาม คดี ป.ป.ช. ติดอยู่ 30 วันเต็ม ผมรักความยุติธรรมของประเทศนี้ เวลาสู้คดีหลักการง่ายๆ ที่ใช้อยู่เสมอคือ “อย่าเชื่อใครแม้แต่ทนาย” เชื่อตัวเองดีที่สุด เพราะมี แต่ตัวเราเองเท่านั้นที่ติดคุก ไม่มีญาติ ไม่มีทนายไปติดคุกร่วมกับเรา หากทำผิดอย่าคิดว่าคำแก้ตัวของเรานั้นดีหนักหนา โกหก ศาลก็เหมือนเด็กโกหกผู้ใหญ่ ฟังแล้วเหมือนจะดูดี แต่ศาลไม่เชื่อ ดังนั้นวิธีการที่ผมแนะนำคือ “รับสารภาพ” อย่างน้อยศาลมี ความเมตตาหลงเหลือให้กับผู้กระทำความผิดแล้วยอมรับผิด โทษหนักก็เป็นเบา จะติดเต็มหรือลดกึ่งหนึ่งก็อยู่ตรงนี้ล่ะครับ คดี ป.ป.ช. ล่าสุด ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง วันนัดมีเอกสารมาให้เซ็น 2 ใบ ใบหนึ่งรับสารภาพ อีก ใบปฏิเสธ ให้ผมตัดสินใจ ผมเซ็นรับสารภาพทันที นั่นคือวิธีการเอาตัวรอดเมื่อไพ่ในมือไม่เหลือให้เล่นอีกแล้ว กระบวนการยุติธรรม เดินมาถึงปลายทาง ดื้อดึงต่อไปมีแต่จะทำให้คดีรกศาลและโทษก็จะไม่ได้ลด “ติดคุกยังมีวันออก” แน่นอนว่าลำบากแน่ แต่หากทำใจได้ ตัดเรื่องภายนอกทิ้ง ไม่ว่าเมียจะเลี้ยว (เมียหนี) ธุรกิจจะพัง หรือมีใคร จะตรอมใจ คิดแค่เอาชีวิตเหลือรอดออกไปได้ก็พอ อยู่คุกต้อง “อยู่ให้เป็น เย็นให้พอ รอให้ได้” กินให้น้อย ทำใจให้มาก ออกกำลังกายสม่ำเสมอ ปล่อยวางทุกอย่าง เป็นม็อตโต้ของ ผมที่ใช้เมื่อเวลาอยู่ในคุก ครั้งนี้ 30 วันที่ผมติดคุกถือโอกาส “ดูงาน” ทั้งภายในเรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ เรือนพยาบาล และโรงพยาบาลราชทัณฑ์ ได้พบได้ เห็น “พุทธะอิสระ” มาหาหมอที่โรงพยาบาลทุกวัน เพราะต้องมาทำกายภาพบำบัด แกบอกว่าปวดหลังเดินไม่ไหวต้องนั่งรถเข็น แต่พอเข้าห้องน้ำเห็นลุกเดินปร๋อ หลังๆพอรู้ว่าชูวิทย์อยู่เลยพาลไม่ยอมมาโรงพยาบาลแล้วบอกเจ้าหน้าที่ว่า “อย่าให้ชูวิทย์เห็นนะ” ไม่รู้ว่าแกจะกลัวอะไรผมหนักหนา ส่วนบรรดา “อดีตเจ้าคุณวัดดัง” ทั้งหลาย ที่โดนคดี “เงินทอนวัด” ผมเคยบอกแล้วว่าจะมียศถาบรรดาศักดิ์ใดๆ เมื่อเข้าคุก ต้องกองเอาไว้ที่หน้าประตูเรือนจำ หลายคนมาหาหมอที่ พ.บ. (เรือนพยาบาล) พยาบาลเขายกมือไหว้กันหน้าสลอน อดีตพระก็ไม่ ไหว้ตอบ เพราะยังคิดว่าตัวเองเป็นพระ แตะต้องตัวก็ไม่ได้ จะเอาอะไรให้ต้องมีผ้าประเคน พุทธโธ่พุทธถังเอ๋ย ยังไม่ปล่อยวาง คงต้อง ใช้เวลาอีกสักพักถึงจะรู้ซึ้งถึงสถานะ “นักโทษ” แล้วยังไปพบอดีตรัฐมนตรี “คดีค้าข้าว” แกบอกว่าสู้อุทธรณ์อยู่ ผมก็ได้แต่หวังว่าหนักจะเป็นเบา ในใจลึกๆ คนประสบการณ์สูง อย่างผมทั้งการเมืองและสื่อมวลชนบอกได้คำเดียวว่าคงลำบาก ส่วนเวลาอยู่ในคุกก็ไม่มีใครจำกันได้ว่าใครเป็นใคร ไม่ว่ารัฐมนตรี หรือนายตำรวจใหญ่ ถึงขนาดเพื่อนนักโทษของผมยังไปใช้อดีตรัฐมนตรีให้เดินเอกสารเยี่ยมญาติ แหม มันช่างไม่รู้เอาเสียจริงๆ วันนี้ออกจากคุกมีนายตำรวจใหญ่ให้เกียรติมารอรับผมแต่เช้า พาผมไปส่งถึงบ้าน แถมยังผูกข้อมือผมด้วยสายสิญจน์ของครูบา บุญชุ่ม สมัยก่อนผมทะเลาะกับตำรวจ แต่เที่ยวนี้ผมรักตำรวจคนนี้จริงๆ ใจถึงและไม่สนใจใคร ต้องนับถือน้ำใจของท่าน ลูกผู้ชาย ชั่วเจ็ดทีดีเจ็ดหน ต้องมานะกอบกู้เชิดชูตน เกิดเป็นคนเจ็บแล้วจำเป็นตำรา” คอยติดตามแมวเก้าชีวิตอย่างชูวิทย์ต่อไป !