เปิดคำพิพากษา เหตุคุกลุงวิศวะ-สมัครใจวิวาท-ท้าทาย

by ThaiQuote, 28 กันยายน 2561

ภาพที่เราเห็นตอนเป็นข่าว คือ มีรถตู้ปาดหน้ารถของ นายสุเทพ โภชนสมบูรณ์ หรือ ‘ลุงวิศวะ’  อายุ 50 ปี อาชีพวิศกร ที่เดินทางมาพร้อมลูก ภรรยา และแม่ และ นายนวพล ผึ่งผาย หรือ ปอน อายุ 17 ปี นักเรียนชั้น ม.4  ได้ลงมาพยายามเปิดประตูรถ ทำให้นายสุเทพ ได้ยิงปืนเข้าใส่ จนเสียชีวิตริมถนนตลาดอ่างศิลา จ.ชลบุรี เมื่อวันที่ 4 ก.พ.  ทำให้สังคมจะเอนเอียงไปยังลุงวิศวะ ว่า ถูกเด็กวัยรุ่น หาเรื่องอยู่ฝ่ายเดียว  แต่ในคำพิพากษา ได้บรรยายอย่างละเอียด ในระหว่างเดินทางจากตลาดอ่างศิลาที่ทั้ง 2 ฝ่าย ทะเลาะเรื่องการจอดรถ และลุงวิศวะได้ขับรถไล่ตามเหมือนชวนทะเลาะและท้าทาย   รายละเอียดในคำพิพากษา ระบุว่า  พยานหลักฐานรับฟังได้ว่าจำเลยพกพาอาวุธปืนติดตัวไปในเมืองหมู่บ้านหรือทางสาธารณะโดยไม่มีเหตุสมควรและไม่ได้รับอนุญาต แล้วใช้อาวุธปืนยิงผู้ตายจริง ส่วนปัญหาที่ว่าการกระทำของจำเลยเป็นการกระทำเพื่อป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ เห็นว่า เหตุคดีนี้สืบเนื่องมาจากพวกของผู้ตายซึ่งเป็นคนขับรถตู้ และรถยนต์ จอดรถที่หน้าร้านขายของฝากกีดขวางทางออกของจำเลย ทำให้มีปากเสียงกันแต่เหตุวิวาทจบลงไปภายหลังจากที่พวกของผู้ตายขับรถตู้ และรถยนต์ ออกไปโดยมิได้ท้าทายจำเลยอีก หากจำเลย ‘มีสติรู้จักยับยั้งชั่งใจ’ จอดรถรอสักพักหนึ่ง เพื่อให้โทสะคลายลงแล้วค่อยขับรถออกไป เหตุคดีนี้คงไม่เกิดขึ้นอย่างแน่นอน แต่จำเลยกลับขับรถตามรถทั้งสองคันไปในทันที พร้อมขับแซงรถตู้บีบแตรยาวใส่แล้วขับไปอยู่ด้านหน้าชะลอความเร็วลงจนเกือบจะหยุดรถเพื่อให้ชนท้าย ทั้งภรรยาจำเลยใช้โทรศัพท์เคลื่อนที่ถ่ายภาพรถยนต์ของพวกผู้ตายไว้อีก เช่นนี้ย่อมเป็นการท้าทายผุ้ตายกับพวกให้เกิดโทสะและเข้ามาวิวาทกับจำเลย เหตุที่จำเลยมีความฮึกเหิมกล้าท้าทาย ก็เนื่องจากจำเลยพกพาอาวุธซึ่งบรรจุลูกกระสุนปืนไว้แล้วติดตัวไปด้วย และเตรียมอาวุธปืนไว้ตั้งแต่ที่หน้าร้านขายของฝาก บ่งชี้ถึงเจตนาขอจำเลยว่าพร้อมจะสมัครใจวิวาท เมื่อพวกของผู้ตายขับรถยนต์มาถึงที่เกิดเหตุ จำเลยได้หักหัวรถอย่างกระทันหันในลักษณะปาดหน้าและขัดขวางมิให้รถยนต์ของพวกผู้ตายขับต่อไปได้ แสดงให้เห้นว่า จำเลยมีเจตนาวิวาทกับผู้ตายและพวกมาตลอดทาง จนกระทั่งถึงที่เกิดเหตุซึ่งเป็นจุดสุดท้ายก่อนที่จะยิงกัน จำเลยก็ยังมีเจตนาวิวาทอยู่ เมื่อจำเลยเห็นว่า ผู้ตายกับพวกมากันหลายคนก็เริ่มเกิดความขลาดกลัว แต่ยังคงพูดกับผู้ตายด้วยน้ำเสียงและคำพูดในลักษณะไว้ท่าทีว่าจะเอาเรื่อง ไม่ใช่คำพูดในทำนองขอโทษการกระทำของตนหรือแสดงให้เห็นว่า ไม่อยากมีเรื่องให้เลิกแล้วกันไป ประกอบกับจำเลยเตรียมอาวุธปืนไว้พร้อมยิงต่อสู้ฝ่ายผู้ตายจึงต้องฟังว่า ‘ต่างฝ่ายต่างสมัครใจวิวาท’ แม้ผู้ตายกับพวกทำร้ายร่างกายจำเลยก่อน จำเลยจึงใช้อาวุธปืนยิงผู้ตาย แต่เมื่อเหตุการณ์เกิดขึ้นต่อเนื่องเชื่อมโยงกันมาไม่ขาดตอนนับระยะเวลาตั้งแต่ต้นจนจบเพียง 5 นาทีเศษ และตามพฤติการณ์เป็นกรณีที่ต่างฝ่ายต่างสมัครใจวิวาทกัน จำเลยจะอ้างว่า ยิงผู้ตายเพื่อป้องกันสิทธิ์ของตนไม่ได้ ทั้งไม่ปรากฏว่า ผู้ตายกับพวกทำร้ายมารดา ภรรยา และหลาน ที่มากับจำเลยจึงอ้างไม่ได้ว่า จำเลย ยิงตายเพื่อป้องกันสิทธิ์ของผู้อื่นให้พ้นภยันอันตรายที่ใกล้จะมาถึง จำเลยจึงมีความผิดฐานพกพาอาวุธปืนและฆ่าผู้อื่นตามฟ้องแต่เนื่องจากจำเลยมิได้มีจิตใจโหดเหี้ยมเยี่ยงโจรผู้ร้าย เพียงแต่ขาดสติยับยั้งชั่งใจในการควบคุม จำเลยจึงยิงปืนไปเพียงหนึ่งนัด หลังเกิดเหตุมิได้หลบหนีและยอมรับกับตำรวจในทันที ว่า เป็นคนยิงผู้ตายประกอบกับผู้ตายมีส่วนร่วมในการกระทำความผิดเห็นสมควรลงโทษจำเลยในสถานเบาฐานฆ่าผู้อื่นโดยเจตนาจำคุก 15 ปี ลดโทษ 1 ใน 3 คงจำคุก 10 ปี ฐานพกพาอาวุธปืนปรับ 4,000 บาทลดโทษให้กึ่งหนึ่งคงปรับ 2,000 บาทรวมจำคุก 10 ปีและปรับ 2,000 บาท พร้อมยกคำร้องขอเข้าร่วมเป็นโจทก์ของนางสาวมณีพร ผึ่งผาย มารดาผู้ตาย และให้ถือว่า นางสาวมณีพร อยู่ในฐานะผู้ร้องขอให้จำเลยชดใช้ค่าสินไหมทดแทนเท่านั้น พร้อมสั่งให้จำเลยชดใช้ค่าสินไหมทดแทนจำนวน 340,000 บาทพร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปีนับแต่วันยื่นคำร้องขอ ในคำพิพากษา จะเห็นว่า ศาลได้ระบุ ถึง ‘ความยับยั้งชั่งใจ’ ที่ลุงวิศวะน่าจะมี ในฐานะเป็นผู้อาวุโส แต่กลับชวนทะเลาะ และท้ายทาย จึงเกิดเรื่องขึ้น สังคมจึงต้องพิจารณารายละเอียดให้ถี่ถ้วน ไม่ใช่มองแค่ภาพแค่จุดใดจุดหนึ่ง แล้วตัดสิน ตามที่ตัวเองรู้เพียงนิดเดียว จึงเป็นกระแสสังคมที่ไม่เป็นธรรม