มติเอกฉันท์เรียก “ทนายตั้ม” สอบกรณีรับเงินวิ่งล้มคดี

by ThaiQuote, 28 กันยายน 2561

นายสรัลชา ศรีชลวัฒนา เลขาธิการสภาทนายความ เปิดเผยผลการประชุมของสภาทนายความ กรณีที่ นายอัจฉริยะ เรืองรัตนพงศ์ ประธานชมรมช่วยเหลือเหยื่ออาชญากรรม ร้องเรียน นายษิทรา เบี้ยบังเกิด หรือ ทนายตั้มเลขาธิการมูลนิธิทีมงานทนายประชาชนฯ ว่ามีการแอบอ้างเรียกเงินช่วยคดี 5 แสน ของสามีภรรยาคู่หนึ่งใน จ.สมุทรสาคร โดยมีหลักฐานเป็นคลิปเสียง   โดยที่ประชุมมีมติเป็นเอกฉันท์ 23 ต่อ 0 เสียง เห็นว่า ให้ส่งรายชื่อ นายษิทรา ให้คณะกรรมการมรรยาททนาย ตรวจสอบโดยจะมีการตั้งคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริง และเรียกผู้ถูกล่าวหาและผู้กล่าวหามาสอบสวน เพื่อดูว่าบทลงโทษจะหนักหรือเบา และทันทีที่ผลตรวจสอบออกจะต้องส่งมาให้ที่ประชุมใหญ่พิจารณามีความเห็น ภายใน 30 วัน   ก่อนหน้านั้น นายสรัลชา ยืนยันว่า นายอัจฉริยะเข้ามายื่นหนังสือร้องเรียนถึงนายกสภาทนายความ เพื่อขอให้ความตรวจสอบการปฏิบัติหน้าที่ของนายษิทรา เบี้ยบังเกิด หรือทนายตั้ม เลขาธิการมูลนิธิทีมงานทนายประชาชนฯ กรณีข้อกล่าวหาเรียกเงินจาก 2 สามีภรรยา นักธุรกิจส่งออกกุ้ง เป็นเงิน 5 แสนบาท เพื่อช่วยเหลือทำคดีให้   เบื้องต้นจะนำเรื่องเข้าที่ประชุมคณะกรรมการบริหารสภาทนายความ ให้พิจารณาว่ามีมูลหรือไม่ หากคณะกรรมการเห็นว่ามีมูลจริง จะส่งเรื่องให้ประธานกรรมการมรรยาท พิจารณาตรวจสอบตามลำดับ ส่วนบทลงโทษทนายความ ที่กระทำผิดข้อบังคับว่าด้วยมรรยาททนายความ มีอยู่ 3 ระดับ คือ 1.ภาคฑัณท์ 2.พักใบอนุญาตว่าความไม่เกิน 3 ปี 3.ถอนชื่อการประกอบวิชาชีพทนายความ ซึ่งเป็นบทลงโทษสูงสุด   หลังจากนายอัจฉริยะ นำคลิปเสียงหญิง กำลังทวงเงิน 4 แสน 5 หมื่นบาท จากบุคคลที่ชื่อทนายตั้ม เผยแพร่ผ่านเพจเฟซบุ๊ก ก่อนที่นายอัจฉริยะ จะไลฟ์สดชี้แจงเนื้อหาว่า เป็นเรื่องของสามีภรรยา นักธุรกิจอาหารทะเล ในสมุทรสาคร ที่มีคดีความถูกฉ้อโกงลงทุนธุรกิจห้องเย็น จนสูญเงิน 10 ล้านบาท ซึ่งคดีนี้ ตำรวจสั่งฟ้องคู่กรณีทั้งหมด 42 กรรม แต่เมื่อคดีเข้าสู่ชั้นอัยการ ที่เป็นพรรคพวกของทนายรูปหล่อ จึงเปลี่ยนสำนวนสั่งฟ้องแค่กรรมเดียว สุดท้ายสามีภรรยา ที่ไม่รู้ข้อกฎหมาย ติดต่อขอความช่วยเหลือจากทนายรูปหล่อ ที่มีชื่อเสียงในสมุทรสาคร ที่รับปากว่า จะพูดคุยอัยการให้ฟ้อง 42 กรรมเช่นเดิม โดยมีค่าใช้จ่าย 7 แสนบาท แต่ต้องเบิกเงินก่อน 5 แสนบาท แต่ ทนายคนเดิม เขียนหนังสือขอความเป็นธรรมยื่นต่ออัยการ ซึ่งประชาชนทำได้เอง โดยไม่ต้องเสียเงิน ก่อนที่ศาลจะสั่งฟ้องคู่กรณีของสามีภรรยา แค่กรรมเดียว ตามสำนวนเดิมของอัยการ