จนกว่าจะถึงวันหย่อนบัตรลงคะแนนเลือกตั้ง...กว่าจะได้ตัวนายกรัฐมนตรีคนใหม่...กว่าจะได้รัฐบาลชุดใหม่ แม้ว่านับเนื่องจากเหตุการณ์รัฐประหารวันที่ 22 พฤษภาคม 2557 เป็นต้นมา จะได้สร้างผลงานการฟื้นฟูเศรษฐกิจให้เห็นเป็นที่ประจักษ์แจ่มชัดก็ตามที

5 ปี จีดีพีดีต่อเนื่อง
ความพยายามของ คสช.ในการหยุดความรุนแรง และสยบความวุ่นวาย คืนความสงบเรียบร้อยแก่บ้านเมือง ควบคู่กับความพยายามของรัฐบาลที่มีผู้นำคนเดียวกับหัวหน้า คสช.ในการฟื้นฟูเศรษฐกิจ ส่งผลให้อัตราการเจริญเติบโตของเศรษฐกิจผงกหัวชูคอดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง

อัตราการเจริญเติบโตของเศรษฐกิจปี 2557 ซึ่งเป็นขวบปีแรกที่ คสช.และคณะรัฐบาลภายใต้อาณัติ คสช.เข้ายึดกุมอำนาจการบริหารราชการแผ่นดิน ประเดิมที่ 1.0 %
ถัดมาปี 2558 อัตราการเจริญเติบโตของเศรษฐกิจ ขยับเขยื้อนเคลื่อนตัวเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ระดับ 3.0%
ต่อมาปี 2559 อัตราการเจริญเติบโตของเศรษฐกิจ ขยายตัวเพิ่มขึ้นไปเป็น 3.3%
ล่วงมาถึงปี 2560 อัตราการเจริญเติบโตของเศรษฐกิจ ดีดตัวขึ้นไปยืนอยู่ที่ระดับ 3.9%
ล่าสุดเมื่อปี 2561 อัตราการเจริญเติบโตของเศรษฐกิจ พุ่งทะลุหลัก 4 ขึ้นไปยืนอยู่ที่ระดับ 4.1%

เติมเงิน-เติมทุน-หนุนความเชื่อมั่น
ความดีงามของอัตราการเจริญเติบโตของเศรษฐกิจที่เกิดขึ้นต่อเนื่องกัน 5 ปีซ้อน มิได้เกิดจาก ”ถูกหวยหรือโชคช่วย” แต่ต้องแลกมาด้วยความมุ่งมั่นทุ่มเทของรัฐบาล ผ่านสารพัดสารพันมาตรการเติมเงิน-เติมทุน-หนุนความเชื่อมั่น

นับจากวันก่อการรัฐประหาร 22 พฤษภาคม 2557 เป็นต้นมา รัฐบาลภายใต้การนำของหัวหน้าคณะรัฐประหาร ได้ผลักดันมาตรการสำคัญที่ส่งผลต่อการเติบโตของระบบเศรษฐกิจไปแล้วอย่างน้อย 5 มาตรการ ซึ่งห่อหุ้มมาตรการย่อยๆ เอาไว้อีกนับสิบๆ มาตรการ....

ในบรรดามาตรการหลักที่มีความสำคัญ ซึ่งส่งผลดีต่อการเติบโตของระบบเศรษฐกิจได้แก่
1.มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ ทั้งระดับฐานราก ผ่านกองทุนหมู่บ้าน-ผ่านองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น หรือระดับมหาชน ผ่านมาตรการช้อปช่วยชาติ-เที่ยวเมืองรองช่วยชาติ...และรวมไปถึงผู้ประกอบการทุกระดับ ผ่านกลไกของกองทุน ตลอดจนกลไกการอำนวยความสะดวกคล่องตัวในการได้รับบริการจากภาครัฐ
2.มาตรการยกระดับราคาพืชผลการเกษตร
3.มาตรการเยียวยาผู้ประสบภัยธรรมชาติ
4.มาตรการลดภาระค่าใช้จ่าย-เสริมรายได้ผ่านการเพิ่มวงเงินหักค่าใช้จ่ายและหักค่าลดหย่อนแก่ผู้มีเงินได้ ในการคำนวณภาษี เพื่อยื่นแบบแสดงรายการเสียภาษี
5.โครงการบัตรสวัสดิการแห่งรัฐออกมา เพื่อเป็นเครื่องมือสำคัญในการลดช่องว่างความเหลื่อมล้ำในระบบเศรษฐกิจ แก่ผู้มีรายได้และมีทรัพย์สินในระดับต่ำอีกกว่า 14 ล้านคน หรือคิดเป็นสัดส่วนกว่า 20% ของจำนวนประชากรทั้งประเทศ

ยิ่งไปกว่านั้น รัฐบาลชุดนี้ยังได้ผลักดันโครงการขนาดยักษ์ ที่มีอานุภาพดึงดูดเม็ดเงินลงทุนมูลค่ามหาศาลนับล้านล้านบาทขึ้นเป็นครั้งแรกในรอบระยะเวลาเกือบ 40 ปี ซึ่งรู้จักกันทั่วไปและทั่วโลกภายใต้ชื่อ “โครงการอีอีซี” หรือ “โครงการเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก” ครอบคลุมพื้นที่ 3 จังหวัดภาคตะวันออกคือฉะเชิงเทรา-ชลบุรี-ระยอง

รางวัลหวานชื่น แต่ยังซ่อนความขื่นขม
ค่าของคนอยู่ที่ผลของงาน..ค่าของงานอยู่ที่การกระทำ และผลงานจากกการกระทำของคณะรัฐบาลในอาณัติของ คสช. ไม่เพียงแจ่มชัดผ่านอัตราการเติบโตของเศรษฐกิจ ที่ตรวจวัดได้จากตัวเลขมูลค่าความมั่งคั่งของระบบเศรษฐกิจที่เพิ่มขึ้นจาก 13.4 ล้านล้านบาท เมื่อปี 2557 ที่ไต่ระดับเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องปีแล้วปีเล่า

กระทั่งมายืนอยู่ที่ระดับ 16.3 ล้านล้านบาทในปี 2561 ที่ผ่านมา หรือมูลค่าความมั่งคั่งของระบบเศรษฐกิจประเทศไทยอ้วนท้วนสมบูรณ์ขึ้นถึง 2.9 ล้านล้านบาท ในช่วงระยะเวลา 5 ปีที่รัฐบาล คสช.รับผิดชอบการบริหารจัดการประเทศไทยเท่านั้น แต่มูลค่าตลาดหุ้นก็อู้ฟู่ขึ้นไม่แพ้กัน

มูลค่าตลาดหุ้นปี 2557 อันเป็นปีแรกที่รัฐบาล คสช.รับผิดชอบดูแลประเทศไทย อยู่ที่ 11.5 ล้านล้านบาท แต่ล่วงมาถึงปี 2561 มูลค่าตลาดหุ้นอู้ฟู่ฟูฟ่องขึ้นมาถึง 16.2 ล้านล้านบาท สูสีคู่คี่กับมูลค่าความมั่งคั่งของระบบเศรษฐกิจชนิดหายใจรดต้นคอกันเลยเชียว

มาตรวัดพัฒนาการของประเทศไทยในระดับสากล ก็สอดประสานไปในทิศทางเดียวกับความเจริญรุ่งเรืองของเศรษฐกิจ....

ธนาคารโลกยกระดับดัชนีความยากง่ายในการประกอบธุรกิจของไทย ให้ขยับตัวดีขึ้นโดยลำดับ จากที่เคยอยู่อันดับ “ใกล้ 100” มาอยู่ที่อันดับ 26 เมื่อปี 2561

ทำนองเดียวกันตำแหน่งประเทศไทย ในรายงานดัชนีนวัตกรรมโลก ก็ดีขึ้น จากที่เคย “ใกล้ 100” ก็เลื่อนขึ้นมาที่อันดับ 44 เมื่อปี 2561 ขณะเดียวกันดัชนีการพัฒนาเทคโนโลยีสารสนเทศ ก็เลื่อนขึ้นจาก “จ่อใกล้ 100” มาอยู่อันดับที่ 73

อย่างไรก็ตาม โจทย์ยากที่รัฐบาล คสช.ยังขบไม่แตก..ยังแก้ไม่ตกคือดัชนีความโปร่งใสและดัชนีความเหลื่อมล้ำ ซึ่งยังคงเป็นความขื่นขมเคียงคู่เมืองไทยรอเวลาให้แก้ไขกันต่อไป

โดย : รัมย์ฤตา ประชาชื่น

ข่าวอื่นที่น่าสนใจ
https://www.thaiquote.org/content/65404
https://www.thaiquote.org/content/64082