รัฐบาลไทยชวนนักลงทุนจีนมาลงทุนในเขตพัฒนาเศรษฐกิจตะวันออก ยันไทยได้เร่งพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน การอำนวยการลงทุน คาดอันดับอำนวยความสะดวกธุรกิจ Doing Business จะขยับดีขึ้น หนุนการตัดสินใจนักลงทุนจีนเข้ามาลงทุนไทย

นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี ปาฐกถาพิเศษ ในงานสัมมนา “กลยุทธ์การดึงพันธมิตร ร่วมนโยบาย Belt and Road เส้นทางสายไหมใหม่ เชื่อกับอีอีซีของไทย” ณ นครเซินเจิ้น ว่า การเดินทางมาเยือนเมืองเซินเจิ้น ครั้งนี้ เพื่อกระชับความสัมพันธ์การค้าการลงทุนระหว่างไทยและจีน โดยเฉพาะกับทางมณฑลกวางตุ้ง นับว่ามณฑลกวางตุ้งได้พัฒนาก้าวหน้าไปมาก จนกลายเป็นต้นแบบการพัฒนาทางเศรษฐกิจของจีนยุคใหม่ จนกลายเป็นผู้นำเชิงนวัตกรรม และสร้างผู้ประกอบการยุคใหม่ระดับโลก ความโดดเด่นของกวางตุ้งและเซินเจิ้น จึงทำให้ ประธานาธิบดีสีจิ้นผิงมุ่งเน้นให้เป็นพลังขับเคลื่อนนโยบาย Greater Bay area ( GBA) กว่างโจ -ฮ่องกง- มาเก๊า เพื่อให้เป็น Gate way เชิงยุทธศาสตร์ ของจีนยุคใหม่ เพื่อเชื่อมกับโลกภายนอก

หลังจากนายสมคิด เดินทางเยือนกรุงปักกิ่ง เพื่อประชุมร่วมประชุม High level JC ไทย-จีน กับมุขมนตรีแห่งรัฐ นายหวังหย่ง และเข้าพบหารือกับนายหานเจิ้นรองนายกรัฐมนตรีจีน เพื่อหวังเชื่อมโยงเชิงยุทธศาสตร์ระหว่าง GBA จีนตอนใต้ กับกลุ่มประเทศ CLMVT โดยไทยเป็นศูนย์กลางลงไปสู่อาเซียน ในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา เศรษฐกิจของไทยเติบโตอย่างต่อเนื่อง ร้อยละ 4.1ในปี 61 และคาดการณ์ว่าในปีนี้เติบโต ร้อยละ 2.7 - 3.2 ในขณะที่ดัชนีขีดความสามารถในการแข่งขัน ได้รับการจัดอันดับเศรษฐกิจมหภาค จาก IMD ในอันดับที่ 8 ของโลก ในส่วนอันดับ Ease of doing business อันดับ 27 ในช่วงสองปีที่ผ่านมา ในวันศุกร์นี้เตรียมประกาศอันดับการอำนวยความสะดวกสูงขึ้นเป็นที่น่าพอใจ ปัจจัยเหล่านี้ นับเป็นแรงดึงดูดใจการเข้าไปลงทุนในประเทศไทย โดยเฉพาะการมีเชื้อสายเดียวกันระหว่างไทย-จีน วัฒนธรรมอารหารคล้ายคลึง จึงทำให้เอกชนรายใหญ่ของจีนหลายแห่งตัดสินใจเข้าไปลงทุนในเขตอีอีซี เพื่อเข้าไปร่วมขับเคลื่อนนโยบายไทยแลนด์ 4.0 และต้องการเชิญชวนชาวจีนไปท่องเที่ยวไทยเพิ่มอีก 2-3 เท่าจากปัจจุบัน เพราะไทยอยู่อันดับต้นๆ ที่ชาวจีนนิยมเดินทางไปท่องเที่ยว

นายกอบศักดิ์ ภูตระกูล รองเลขาธิการนายกรัฐมตรีฝ่ายการเมือง กล่าวว่า เศรษกิจของประเทศเพื่อนบ้านกลุ่ม CLMV ขยายตัวร้อยละ 7 เติบโตเหมือนกับมณฑลกวางตุ้ง ซึ่งเป็นเขตเศรษฐกิจเติบโตที่สุดของจีน และกลุ่มประเทศเพื่อนบ้านของไทยยังเติบโตไปได้ไกลอีก 15-20 ปี จากประชากร 230 ล้านคน นับว่าเป็นตลาดใหญ่รองรับการเข้าไปลงทุน และหากเชื่อมโยงการขนส่งสินค้าจากเวียดนาม สปป.ลาว ไทย ต่อไปยังประเทศบังคลาเทศ กลุ่มตลาดเป้าหมายมีประชากรสูงถึง 400 ล้านคน นับเป็นตลาดใหญ่ เพื่อรองรับนักลงทุนขยายไปลงทุนในประเทศไทย

นางสาวดวงใจ อัศวจินตจิตร์ เลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) กล่าวว่า ไทยมีความพร้อมทั้งบุคคลากรคุณภาพ ยิ้มแย้มแจ่มใส สิ่งแวดล้อมด้านโครงสร้างพื้นฐานเพื่อรองรับอุตสาหกรรมเป้าหมาย การให้สิทธิ์ประโยชน์แรงจูงใจเข้ามาลงทุน เมื่อมีนโยบายไทยแลนด์ 4.0 จึงได้มุ่งเน้นพัฒนาผู้ประกอบการสตาร์ทอัพ วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี การเข้าไปขยายการลงทุนเปิดทางให้ต่าชาติถือหุ้นใหญ่เต็มร้อยเปอร์เซ็นต์สำหรับภาคการผลิต ถือหุ้นใหญ่ในด้านบริการและขนส่ง นอกจากนี้ยังมีนโยบายไทยแลนด์พลัส เมื่อนักลงทุนจีนเข้าไปลงทุนในเทคโนโลยีชั้นสูง เกษตรสมัยใหม่

การลงทุนจริงภายในปี 62 วงเงินลงทุน 1,000 ล้านบาท จะได้รับสิทธิ์ประโยชน์เพิ่มจากสิทธิ์พื้นฐานเพิ่มอีก 5 ปี หากลงทุนในเขตอีอีซี เขตเศรษฐกิจชายแดน และพื้นที่ยากจนจะได้รับสิทธิ์เพิ่มเติมอีกเช่นกัน ปัจจุบันทํไทยสามารถดึงดูดโครงการลงทุนจากต่างประเทศ ในช่วงเวลาที่ผ่านมา มูลค่าเงินลงทุนในพื้นที่ EEC ยื่นขอรับการส่งเสริมการลงทุนจาก BOI ในปี 61 ขยายตัวเพิ่มขึ้นร้อยละ 130 มูลค่าลงทุน 6.8 แสนล้านบาท สําหรับการลงทุนจากจีนใน EEC ตั้งแต่ปี 61 จนถึงไตรมาสที่ 2 ของปีนี้มีมูลค่าสูงถึง 59,000 ล้านบาท จึงต้องการนักลงทุนจีนเข้าไปขยายการลงทุนในเขต EEC