ตะลึง ! GEN Y ใช้เงินฟุ่มเฟือย 1.37 ล้านล้านบาทต่อปี

by ThaiQuote, 25 พฤศจิกายน 2562

ศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจทีเอ็มบี เผย พฤติกรรม GEN Y ใช้ของฟุ่มเฟือยพุ่ง 1.37 ล้านล้านบาทต่อปี คิดเป็น 13 % ของจีดีพีประเทศ หรือ 8 เท่า ของโครงการรถไฟฟ้าเชื่อม 3 สนามบิน หรือ 91 % ของโครงการ อีอีซี

นายนริศ สถาผลเดชา ผู้บริหาร ศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจทีเอ็มบี (TMB Analytics) เปิดเผยถึงผลจากการสำรวจพฤติกรรมของ GEN Y บนโซเชียล พบว่า ของที่เจนวายอยากมีก่อนอายุ 40 คือ บ้าน สูงถึง48% รถยนต์ 22% ขณะที่อยากมีเงินออมและสินทรัพย์อื่นๆ มีไม่มาก เพียง 13% และเมื่อวิเคราะห์โดยใช้ข้อมูลจากการศึกษา พบว่ามียอดใช้จ่ายในกลุ่มสินค้า “ของมันต้องมี” ถึง 69% ขณะที่รายการซื้อบ้าน ซื้อรถที่เป็นความฝันมีสัดส่วนที่ลดลงมาก รวมทั้งสัดส่วนเงินออมมีไม่ถึง 10%

 

 

ทั้งนี้ โดยเฉลี่ยเจนวาย หมดเงินไปกับ “ของมันต้องมี” ปีละเกือบแสนหรือ 1 ใน 4 ของรายได้ต่อปี ส่วนใหญ่เป็นการซื้อโทรศัพท์ เสื้อผ้า เครื่องสำอาง อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ กระเป๋า และนาฬิกา/เครื่องประดับ และจากการสำรวจพบว่า ในแต่ละปีกลุ่มเจนวาย ใช้เงินไปกับ“ของมันต้องมี” ถึงปีละ 1.37 ล้านล้านบาท ซึ่งเป็นมูลค่าสูงเทียบได้กับ 13% ของรายได้ประเทศ (GDP) หรือ 8 เท่าของมูลค่าโครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบิน หรือ 91% ของมูลค่าการลงทุนในโครงการ EEC 5 ปี

 

 

สาเหตุที่เจนวายอยากได้ “ของมันต้องมี” เป็นเพราะซื้อตามเทรนด์กลัวเอ้าท์ สูง42% มากกว่ามองเป็นของจำเป็น สัดส่วน 37% ขณะเงินที่ใช้ซื้อของเหล่านั้น คนส่วนใหญ่ ประมาณ 70% บอกมีเงินไม่พอ แต่ใช้การกู้จากธนาคารและใช้บัตรเครดิตกับบัตรกดเงินสดในการใช้จ่าย ซึ่งมีการผ่อนชำระที่ต้องเสียดอกเบี้ย

นอกจากนี้ เจนวาย มีลักษณะเข้าทำนองฝันไกลแต่ไปไม่ถึง สะท้อนจากเจนวาย ที่เริ่มต้นทำงานเฉลี่ยตั้งเป้าอยากมีเงินเก็บ 6 ล้านบาท แต่บอกจะออมเงินแค่เฉลี่ยเดือนละ 5,500 บาท ซึ่งถ้าเก็บด้วยอัตรานี้ต้องใช้เวลาถึง 90 ปี จึงจะถึงเป้าหมาย

" หากเจนวายอยากมีพฤติกรรมทางการเงิน หรือมีวินัยทางการเงินที่ดีขึ้น สิ่งแรกที่แนะนำคือ ลดเงินที่ใช้กับของมันต้องมีง่ายๆ โดยลดลงแค่ 50% เพราะเชื่อว่าลดหมด 100% เป็นไปได้ยาก ควบคู่กับวางแผนการบริหารเงินให้ดีโดยเพิ่มการออมการลงทุนให้ถูกที่ จะทำให้ GEN Y จะมีเงินสะสมเพิ่มขึ้น 43,000 บาทต่อปี เมื่อใช้เวลา10 ปี 20 ปี หรือยาวไป 30 ปีก็จะสามารถซื้อทรัพย์สินตามที่เคยตั้งความหวังไว้ได้ไม่ยาก" นาย นริศกล่าว