ครม.เศรษฐกิจ เห็นชอบมาตรการเยียวยาโควิด-19 แจก 2,000 ช่วยผู้มีรายได้น้อย

by ThaiQuote, 6 มีนาคม 2563

จัดให้!! ครม.เศรษฐกิจ เห็นชอบมาตรการเยียวยา ลดผลกระทบไวรัสโควิด -19 ย้ำโอนเงินช่วยเหลือรายย่อยช่วงสั้นเดือนละ 1 พันบาท 2 เดือน เริ่มเม.ย.นี้

วันที่ 6 มี.ค.636 ในการประชุม ครม.เศรษฐกิจ โดยมี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมเป็นประธาน เห็นชอบชุดมาตรการดูแลและเยียวยาผลกระทบจากไวรัสโควิด-19 ชุดที่ 1 จากนั้นเตรียมเสนอ ครม. พิจารณาในวันอังคารหน้า เพื่อใช้เป็นมาตรการชั่วคราว 2-3 เดือนนี้ หวังดูแลผู้ได้รับผลกระทบทุกกลุ่ม และพร้อมโอนผ่านพร้อมเพย์ให้กับกลุ่มผู้มีรายได้น้อย คนละ 1 พันบาท เป็นเวลา 2 เดือน เริ่มเดือนเมษายนนี้ เพื่อลดภาระค่าครองชีพ ค่าไฟฟ้า ค่าน้ำประปา ค่าไฟ เป็นรายเดือนในช่วงเวลากำหนด โดยนายกรัฐมนตรีย้ำว่า รัฐบาลพร้อมร่วมมือกับทุกฝ่ายให้ช่วยกันฟันฝ่าปัญหาครั้งนี้ไปให้ได้ และพร้อมใช้จ่ายเงินอย่างระมัดระวัง

ด้านนายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี กล่าวยอมรับว่า ปัญหาการระบาดไวรัสโควิด-19 ได้แพร่กระจายไปหลายประเทศทั่วโลก ส่งผลกระทบไปหลายกลุ่มทั้งภาคการผลิต ภาคบริการไม่ใช่เพียงด้านการท่องเที่ยว รัฐบาลได้หารือกับทุกฝายอย่างระมัดระวัง เมื่อออกมาตรการชุดแรกไปแล้ว จะประเมินผลหากเหตุการณ์ลุกลามบานปลาย พร้อมออกมาตรการชุดใหม่มาดูแลเพิ่มเติม ส่วนการโอนเงินช่วยเหลือเป็นเพียงเสี้ยวหนึ่งของมาตรการทั้งหมด ขณะนี้ต้องใช้ทุกมาตรการดูแลทุกส่วน


รัฐบาลเป็นห่วงดัชนีตลาดหุ้นไทย ที่ปรับลดลงค่อนข้างมากจากหลายปัจจัยเข้ามากระทบ ครั้งนี้พร้อมดูแลตลาดหุ้นด้วยการแก้ไขกองทุนรวมเพื่อส่งเสริมการออมระยะยาว (SSF) ปรับเงื่อนไขให้เหมือนกับกองทุน LTF ที่เคยให้สิทธิรายย่อยซื้อหน่วยลงทุนลดหย่อนภาษี 5 แสนบาทต่อปี เพื่อเป็นกำลังหลักเข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นไทย โดยกองทุน SSF 17 แห่ง ซึ่งเตรียมเปิดจำหน่ายต้องลงทุนในหลักทรัพย์ตลาดหุ้นไทยมากกว่าร้อยละ 65 ของเงินกองทุน ซึ่งหลัง ครม.เห็นชอบต้องลงทุนก่อน มิ.ย.63 เพื่อพยุงตลาดหุ้นไทย ยอมรับว่าต้องตั้งรับสถานการณ์ครั้งนี้อย่างใกล้ชิด เพื่อใช้มาตรการอื่นเข้ามาดูแลเพิ่มเติม

 

 

ด้านนายอุตตม สาวนายน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวว่า มาตรการดูแลและเยียวยาผลกระทบจากไวรัส โควิด-19 ชุดที่ 1 ได้แก่ มาตรการทางการเงิน เพื่อบรรเทาดูแลผู้ประกอบการ การลดภาระต้นทุน บรรเทาไม่ให้มีการเลิกจ้างงาน การปล่อยสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ จากสินเชื่อซอฟต์โลน โดยให้ธนาคารออมสินปล่อยสินเชื่อแบงก์รัฐ และธนาคารพาณิชย์คิดดอกเบี้ยร้อยละ 0.01 จากนั้นปล่อยกู้ต่อให้รายย่อยร้อยละ 2 โดยมีธนาคารพาณิชย์พร้อมเข้าร่วมโครงการจำนวนมาก เพื่อร่วมกันขยายเวลาชำระหนี้ให้ยาวขึ้น เพื่อลดการผ่อนชำระรายเดือน ทั้งพักเงินต้น และขยายเวลาชำระหนี้ให้ยาวขึ้น ตลอดจนปัญหาหนี้ส่วนบุคคล หากมีปัญหาหนี้บัตรเครดิตชำให้ระร้อยละ 5 ของวงเงินค้าง จากเดิมชำระขั้นต่ำร้อยละ 10

สำหรับมาตรการภาษี หากผู้ประกอบการจ้างงานต่อ เพื่อการลดปัญหาตกงาน สำหรับผู้ประกอบการเอสเอ็มอีให้นำค่าใช้จ่ายจ้างงานหักลดหย่อนภาษีได้ถึง 3 เท่า นับตั้งแต่ 1 เม.ย. -31 ก.ค.63 เพื่อดูแลพนักงานลูกจ้าง รวมถึงการเร่งรัดคืนเงินภาษีมูลค่าเพิ่มให้กับผู้ประกอบการนิติบุคคลในประเทศ เพื่อให้มีเงินหมุนเวียน ตลอดจนการลดการหักภาษี ณ ที่จ่ายให้กับรายย่อย ภาระดอกเบี้ยที่เกิดขึ้นช่วงนี้ยังหักลดหย่อนภาษีได้ และขอให้หลายหน่วยงานลดค่าธรรมเนียม ค่าตอบแทน เพื่อผ่อนคลายให้กับเอกชน และการให้เอกชนชะลอนำส่งเงินเข้ากองทุนประกันสังคมเพื่อให้มีเงินหมุนเวียนในกิจการ

นอกจากนี้ยังแก้ไข พ.ร.บ.จัดซื้อจัดจ้าง เพื่ออำนวยความสะดวกต่อการเร่งรัดเบิกจ่ายการลงทุน เพื่อให้งบประมาณปี 63 ออกสู่ระบบเร็วขึ้น และยังได้หารือกับสำนักงบประมาณ จัดตั้งกองทุนรองรับปัญหาฉุกเฉิน หากสถานการณ์ดีขึ้นอาจไม่จำเป็นต้องใช้เงินดังกล่าวได้

นายวิรไท สันติประภพ ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) กล่าวว่า ธปท. ได้ประกาศผ่อนคลายกฎเกณฑ์ เพื่อให้สถาบันการเงินปล่อยสินเชื่อได้ผ่อนปรนมากขึ้น รวมไปถึงการปรับโครงสร้างหนี้ หรือการยืดระยะเวลาชำระหนี้ให้กับลูกหนี้ของสถาบันการเงิน ครอบคลุมถึงผลกระทบจากปลายปี 62 ทั้งลูกหนี้ NPL และลูกหนี้ที่กำลังมีปัญหา จึงกำหนดให้ย้อนหลังถึง 1 ม.ค. 63 -31 ธ.ค.64 เป็นเวลา 2 ปี เพื่อให้ธนาคารเจรจาลดชำระหนี้เงินต้น และขยายเวลาชำระดอกเบี้ยให้นานขึ้น

ขณะที่นายกอบศักดิ์ ภูตระกูล รองเลขานุการนายกรัฐมตรีฝ่ายการเมือง ในฐานะเลขานุการที่ประชุม ครม.เศรษฐกิจ เปิดเผยว่า ที่ประชุม ครม.เศรษฐกิจ มีความเป็นห่วงปัญหาการแพร่ระบาดไวรัสโควิดกระทบต่อเศรษฐกิจอย่างมาก หลังจากได้รับปัจจัยลบทั้งงบประมาณปี 63 ออกสู่ระบบล่าช้า สงครามทางการค้า การส่งออกชะลอตัว สศช.จึงคาดการณ์เศรษฐกิจมีปัญหาร้ายแรงกว่าที่คาด ซึ่งลุกลามไปหลายประเทศทั่วโลก

ยอมรับว่าจีดีพีไตรมากแรกอาจไม่ดีเหมือนกับไตรมาส 4 ปีที่ผ่านมา แต่ช่วงไตรมาส 2 เงินลงทุนภาครัฐเริ่มขับเคลื่อนออกสู่ระบบ แต่การท่องเที่ยวยังย่ำแย่ จากนั้นค่อยส่งเสริมการท่องเที่ยวเพิ่มเติมภายหลัง ช่วงนี้จึงต้องช่วยลดภาระค่าเช่าแผงลอย ร้านค้าของพ่อค้า แม่ค้ารายย่อย และการขับเคลื่อนมาตรการอื่นเพิ่มเติม


เรื่องอื่นที่น่าสนใจ