ก.เกษตรฯ เดินหน้า 6 มาตรการ ปฏิรูปยางพาราตอบโจทย์ยุค New Normal

by ThaiQuote, 26 มิถุนายน 2563

กระทรวงเกษตรฯ เดินหน้า 6 มาตรการปฏิรูปยางพาราตอบโจทย์ยุค New Normal หวังเพิ่มรายได้ชาวสวนยาง สร้างเสถียรภาพราคา เพิ่มขีดความสามารถการแข่งขัน

นายอลงกรณ์ พลบุตร ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ในฐานะประธานคณะกรรมการติดตามและเสนอมาตรการแก้ไขปัญหาราคายางพาราและรักษาเสถียรภาพราคายาง เปิดเผยว่า ตามที่มีการประชุมคณะกรรมการติดตามและเสนอมาตรการแก้ไขปัญหาราคายางพาราและรักษาเสถียรภาพราคายาง ครั้งที่ 3/2563 ที่มีนายประพันธ์ บุณยเกียรติ ประธานกรรมการการยางแห่งประเทศไทย นายณกรณ์ตรรกวิรพัท รองผู้ว่าการยางแห่งประเทศไทยและตัวแทนเกษตรกรชาวสวนยาง ภาคเอกชนผู้ประกอบการทั้งผู้ผลิตและส่งออกผลิตภัณฑ์ยางพารา

โดยที่ประชุมได้รับทราบถึงสถานการณ์ผลผลิตยางพาราโลกมีแนวโน้มเติบโตในอัตรา 3–4% ต่อปีจากพื้นที่เพาะปลูกใหม่ที่ทยอยเข้าสู่ตลาดหลังจากเร่งขยายพื้นที่เพาะปลูกในช่วงปี 2547-2555 โดยเฉพาะผลผลิตของจีนที่ปลูกในกลุ่มประเทศ CLMV ในขณะที่ความต้องการใช้ยางพาราของโลกคาดว่าจะขยายตัว 4-5% ต่อปี ส่งผลให้ยังคงมีผลผลิตยางพาราส่วนเกินเฉลี่ยกว่า 3.5-4.5 แสนตันต่อปี และจะมีผลให้ค่าคาดการณ์สต็อกยางพาราโลกสูงกว่า 4 ล้านตันในช่วงปี 2562- 2563 ซึ่งจะกดดันให้ราคายางพาราในตลาดโลกในช่วงปี 2563-2564 มี แนวโน้มทรงตัวอยู่ในระดับต่ำต่อเนื่องจากปลายปี 2561 ทั้งยังเผชิญวิกฤติโควิด19ตั้งแต่ต้นปี2563ส่งผลต่อการผลิต ตลาดและราคาทั่วโลก

นายอลงกรณ์ กล่าวอีกว่า คณะกรรมการฯ ได้พิจารณาถึงสถานการณ์ปัญหาทั้งในเชิงโอกาสในฐานะที่ประเทศไทยเป็นประเทศผู้ส่งออกยางพาราอันดับ 1 ของโลกด้วยมูลค่ากว่า 1.2 แสนล้านบาท และส่งออกยางรถยนต์อันดับ 4 ของโลก ส่งออกถุงมือยางอันดับ 2 ของโลก จึงมีมติกำหนด 6 มาตรการ ปฏิรูปยางพาราชุดแรกเพื่อตอบโจทย์ยุคนิวนอร์มัลจากผลกระทบของโควิด-19

โดยคาดว่าจะเพิ่มรายได้ชาวสวนยางและสถาบันยางพร้อมสร้างขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศและแก้ไขปัญหาราคาทำให้เกิดเสถียรภาพราคายางพาราทั้งระยะสั้นและรายะยาว ตามนโยบายของ ดร.เฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ดังนี้

1.มาตรการตลาดและราคา (Market & Price) เนื่องจากตลาดซื้อขายล่วงหน้ามีอิทธิพลต่อราคาอ้างอิงในตลาดซื้อขายจริงโดยเฉพาะตลาดซื้อขายล่วงหน้า 4 ตลาดหลักคือตลาดเซี่ยงไฮ้ โตเกียว สิงคโปร์และมาเลเซีย ซึ่งเป็นตลาดผู้ซื้อในขณะที่ประเทศไทยเป็นประเทศผู้ผลิตรายใหญ่ของโลกและเป็นประเทศผู้ส่งออกอันดับ 1ของโลก แต่มีบทบาทน้อยมากต่อการกำหนดราคาซื้อขายยางพารา

จึงเห็นควรให้เร่งศึกษาหาข้อสรุปการจัดตั้งตลาดซื้อขายล่วงหน้าส่งมอบจริง (Physical Forward Market) ของยางพาราที่เรียกว่า “ตลาดไทยคอม”(ThaiCom) ซึ่งเป็นตลาดลูกผสมแบบ ไฮบริด(Hybrid)ระหว่างตลาดซื้อขายจริง(Spot Market)กับตลาดซื้อขายล่วงหน้า(Future Market)โดยดำเนินการภายใต้ความร่วมมือของการยางแห่งประเทศไทย กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงพาณิชย์ ธนาคารกรุงไทย ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้า (EXIM Bank)

โดยให้จัดตั้งคณะทำงานเฉพาะกิจที่ประกอบไปด้วยผู้เขี่ยวชาญศึกษาจัดทำรายงานเสนอภายใน90วันและระหว่างนี้ให้กยท.เสนอรายงานแนวคิดเบื้องต้น (Concept paper) เสนอรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์เพื่อรับทราบแนวทางนโยบาย หากเห็นชอบในหลักการให้คณะทำงานจัดทำรายงานขั้นสุดท้ายเสนอคณะกรรมการฯเพื่อพิจารณาก่อนเสนอต่อคณะกรรมการการยางแห่งประเทศไทยพิจารณาตามขั้นตอนต่อไป

2.มาตรการการบริหารด้านอุปทาน (Supply Side Management) กำหนดให้ลดพื้นที่สวนยาง 2 ล้านไร่ โดยลดพื้นที่สวนยางปีละ 2 แสนไร่เป็นเวลา 10 ปี เพื่อลดปริมาณการผลิตโดยขอการสนับสนุนไร่ละ 10,000 บาท จากรัฐบาลเพื่อให้เกิดความสมดุลระหว่างอุปสงค์และอุปทาน

นอกจากนี้ให้เร่งขับเคลื่อนนโยบายของรัฐบาลที่ให้หน่วยงานภาครัฐเพิ่มการใช้ยางพาราภายในประเทศและมอบหมาย กยท.เพิ่มการลงทุนด้านการวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์ยางพาราตามความต้องการของภาครัฐและตลาดทั้งในและต่างประเทศ


3.มาตรการการบริหารด้านอุปสงค์ (Demand Side Management) เร่งขยายตลาดในจีนโดยให้ขยายการค้ายางพาราให้ครอบคลุมในทุกมณฑลของประเทศจีน เพื่อเพิ่มช่องทางการขายยางพาราต่อยอดจากในอดีตที่การค้ายางกระจุกตัวอยู่ในบางมณฑล รวมทั้งการขยายตลาดหลักอื่นๆ และเปิดตลาดใหม่ๆ

โดยให้จัดตั้งคณะทำงานขับเคลื่อนการค้ายางพารากับจีนและตลาดหลักเป็นการเร่งด่วนเพื่อกำหนดแนวทางการตลาดและการขายเชิงรุกทั้งรูปแบบการค้าออนไลน์และออฟไลน์รวม ทั้งการสร้างมาตรฐานของผลผลิตและผลิตภัณฑ์ยางพารา ตลอดจนการสร้างภาพลักษณ์ที่ดีของอุตสาหกรรมยางพาราของไทยเพื่อสร้างความเชื่อมั่นของลูกค้า

นอกจากนี้ยังมีมติให้กยท.จัดงาน “ยางพาราเอ็กซ์โปบนแพลตฟอร์มดิจิทัลเสมือนจริง (Virtual Platform) เพื่อเพิ่มช่องทางการค้าและการจับคู่ธุรกิจระหว่างประเทศ

4.มาตรการส่งเสริมการแปรรูปสร้างมูลค่าเพิ่มเร่งส่งเสริมการลงทุนโรงงานผลิตถุงมือยางรวมทั้งผลิตภัณฑ์อื่นๆตอบโจทย์ความต้องการใหม่ในยุคนิวนอร์มัล (New Normal) จากผลกระทบของโควิด19โดยเร่งเดินหน้าส่งเสริมการลงทุนในรับเบอร์ซิตี้ (Rubber City) และพื้นที่ใกล้แหล่งผลิตยางพาราพร้อมกับเร่งศึกษาโครงการรับเบอร์คอมเพล็กซ์ (Rubber Complex) ที่นครศรีธรรมราชและให้ กยท. จัดโครงการประกวดนวัตกรรมการแปรรูปยาง โดยเชื่อมโยงกับศูนย์เทคโนโลยีเกษตรและนวัตกรรม (AIC) เพื่อส่งเสริมผลิตภัณฑ์ยางเพิ่มมูลค่าและรายได้ให้กับชาวสวนยางและสถาบันยาง

5.มาตรการลดสต็อกยางพาราให้กยท.เสนอแนวทางการบริหารจัดการสต็อกยางพาราที่คงค้างกว่า1แสนตัน โดยให้เสนอต่อคณะกรรมการในการประชุมครั้งต่อไปวันที่ 9 กรกฎาคม ทั้งนี้ ต้องระมัดระวังไม่ให้ส่งผลกระทบด้านราคา

6.มาตรการเพิ่มรายได้มอบหมายให้กยท.ขยายการส่งเสริมเกษตรผสมผสานเพื่อสร้างรายได้เพิ่มให้กับชาวสวนยางและสถาบันยางพารา ซึ่งเดิมพึ่งพารายได้จากยางพาราเพียงด้านเดียวและส่งเสริมการปลูกพืชที่มีอนาคตด้านตลาดและไม้เศรษฐกิจเพื่อทดแทนสวนยางพารา ที่ถึงกำหนดต้องตัดทิ้งตามนโยบายลดพื้นที่สวนยางพารา

“มาตรการปฏิรูปเชิงโครงสร้างและระบบยางพาราทั้ง 6 แนวทางเป็นมาตรการชุดแรกที่จะตอบโจทย์ยุคนิวนอร์มัล พุ่งเป้าไปที่การสร้างกลไกและกลยุทธ์ใหม่ๆ ในการรักษาเสถียรภาพราคาและเพิ่มรายได้ชาวสวนยาง โดยเน้นย้ำให้ กยท.ดำเนินการบริหารจัดการแบบภาวะวิกฤต (Crisis management) ภายใต้สถานการณ์โควิด-19 ที่ส่งผลกระทบต่อตลาดและราคายางพาราทั่วโลก เพื่อความรวดเร็วทันต่อสถานการณ์ในการแก้ปัญหาทั้งในระยะสั้นและระยะยาว พร้อมกับฝาก กยท.ดูแลชาวสวนยางให้ได้รับเงินเยียวยาอย่าให้ใครตกหล่นตามนโยบายของรัฐบาลและเร่งดำเนินโครงการประกันรายได้ชาวสวนยางระยะที่ 2 เป็นการด่วนหลังจากคณะกรรมการนโยบายยางพาราให้ความเห็นชอบ” นายอลงกรณ์ กล่าว

 


ข่าวที่น่าสนใจ

รมว.เกษตรฯสั่ง กยท.ไปสรุปแผนเพื่อขออนุมัติประกันราคายางระยะที่ 2

“หมอหนู” คาด อีก 9 เดือน ได้วัคซีนโควิด-19 ชนิดดีเอ็นเอ