นายสันติ พร้อมพัฒน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง ในฐานะกำกับดูแล บรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม (บสย.) เปิดเผยว่า ขณะนี้ผู้ประกอบการเอสเอ็มอี กำลังรอเงินทุนจากธนาคาร ซึ่งที่ผ่านมานนั้น บสย. ซึ่งเป็นผู้คำประกันสินเชื่อ ให้กับเอสเอ็มอีที่อยู่ในช่วงการเผชิญวิกฤตโควิด-19 ซึ่งการที่จะสถาบันการเงินจะปล่อยสินเชื่อให้กับผู้ประกอบการนั้น ก็จะต้องพิจารณาทั้งวงเงิน หลักประกัน เพื่อเป็นความมั่นใจในการปล่อยสินเชื่อ

ดังนั้น บสย.เป็นส่วนสำคัญที่สุดที่จะช่วยเหลือให้ผู้ประกอบการ และคนรุ่นใหม่ที่จะทำธุรกิจ ได้สามารถที่จะเข้าถึงแหล่งทุนของธนาคาร ซึ่งโดยปกติ บสย.จะค้ำประกันได้ประมาณ 6 เท่าของวงเงินสินเชื่อที่ผู้ประกอบการเอสเอ็มอี หรือสตาร์ทอัพ จะได้รับ ตนจึงได้เล็งเห็นว่า นอกเหนือจากเงินทุนซึ่งสถาบันการเงินได้ดำเนินการปล่อยสินเชื่อตามปกติอยู่แล้วนั้น

ขณะเดียวกันก็มีแหล่งเงินทุนอีกจำนวนหนึ่ง จากพ.ร.ก.เงินกู้ Soft loan ของธนาคารแห่งประเทศไทยจำนวน 500,000 ล้านบาท ซึ่งขณะนี้สามารถปล่อยสินเชื่อได้แล้วประมาณ 100,000 ล้านบาท โดยที่ยังเหลืออีกจำนวน 400,000 ล้านบาท ไม่สามารถที่ดำเนินการได้ เนื่องจากติดขัดต่อข้อกำหนดหลายๆอย่าง โดยข้อกำหนดที่กล่าวมานั้นอยู่ในระหว่างการดำเนินการแก้ไข
ทั้งนี้ จากการรายงานผลการดำเนินการของ บสย.ที่ผ่านมา พบว่ามีผู้ประกอบการอีกเป็นจำนวนมากที่ยังเข้าไม่ถึงแหล่งทุนของสถาบันการเงิน ซึ่งผประกอบด้วย วิสาหกิจชุมชน คนรุ่นใหม่ หรือแรงงานที่ถูกเลิกจ้าง ซึ่งมีฝีมือ และมีความรู้ ตนจึงมอบให้ บสย. ได้ร่วมหารือกับ สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) ซึ่งรับผิดชอบดูแลเรื่องของวินัยการเงินการคลัง เพื่อหาแนวทางการเพิ่ม วงเงินค้ำประกันประมาณ 50,000-60,000 ล้านบาท จากวงเงินในพ.ร.บ. Soft loan ดังกล่าว ซึ่งจะสามารถค้ำประกันเงินกู้ วงเงินใน พ.ร.บ.ประมาณ 350,000 ล้านบาท โดยจะช่วยให้เม็ดเงินดังกล่าวลงไปกระตุ้นเศรษฐกิจฐานรากได้อีกแนวทางหนึ่ง
“นี่คือสิ่งที่ผมต้องการผลักดันให้ บสย.ได้ใช้ประโยชน์จากเงินจำนวนนี้ เพื่อช่วยเหลือด้านการเข้าถึงแหล่งทุนของผู้ประกอบการที่ได้รับผลกระทบจากวิกฤตโควิด-19 และสามารถทำให้เกิดการหมุนเวียนของระบบเศรษฐกิจฐานราก ซึ่งสามารถช่วยเหลือพี่น้องประชาชนได้อย่างทั่วถึง” นายสันติ กล่าวในตอนท้าย

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

บสย. ค้ำประกันสินเชื่อ Soft Loan 5.7 หมื่นล้าน ช่วย SMEs อุ้มแรงงาน 3.6 แสนราย