การเลี้ยงปลาในนาข้าวของจีนไม่ใช่เป็นเพียงระบบเกษตรเท่านั้น แต่เป็นวัฒนธรรมที่สืบทอดมานานนับ 2,000 ปี

by ThaiQuote, 16 สิงหาคม 2565

จีนยื่นขอจด "Rice-Fish Culture" เป็นมรดกเกษตรโลก (The Globally Important Agricultural Heritage Systems - GIAHS) ต่อองค์การอาหารและเกษตรแห่งสหประชาติ (FAO) มาตั้งแต่ปี 2005

 

ในขณะที่การส่งเสริมเกษตรเชิงเดี่ยวและการใช้สารเคมีกำจัดศัตรูพืชในนาข้าวสารพัดชนิดทำให้การเลี้ยงปลาในนาข้าวกลายเป็นเพียงเรื่องเล่าในอดีต และรัฐบาลของเรานึกได้แค่มาตรการแก้ปัญหาเฉพาะหน้าเรื่องปัญหาข้าวเท่านั้น แต่รัฐบาลจีนและอินโดนีเซียกำลังส่งเสริมสนับสนุนการเลี้ยงปลาในนาข้าวอย่างขนานใหญ่

การเลี้ยงปลาในนาข้าวของจีนไม่ใช่เป็นเพียงระบบเกษตรเท่านั้น แต่เป็นวัฒนธรรมที่สืบทอดมานานนับ 2,000 ปี โดยมีการขุดพบกระเบื้องดินเผาในสุสานของราชวงศ์ฮั่นตอนกลาง แสดงให้เห็นแผนผังปลาว่ายจากบ่อลงในนาข้าว

ระบบการเลี้ยงปลาในนาข้าวเป็นระบบเกษตรผสมผสานที่่สมบูรณ์แบบในอุดมคติ ปลาให้ปุ๋ยแก่ข้าว ควบคุมภูมิอากาศย่อยในระบบนิเวศ การแหวกว่ายของปลาช่วยเพิ่มออกซิเจน พรวนดิน กำจัดตัวอ่อนของแมลงศัตรูพืชและวัชพืช ถ่ายออกมาเป็นปุ๋ย ในขณะที่ข้าวให้ร่มเงาและสร้างอาหารให้ปลา การใช้ปุ๋ยและสารเคมีกำจัดศัตรูพืชแทบเป็นศูนย์ แต่ได้อาหารที่มีคุณภาพและคุณค่าสูง

การเลี้ยงปลาในนาข้าว เป็นรูปแบบและวิถีเกษตรกรรมในอดีต แต่ได้รับการส่งเสริมและพัฒนาโดยชาวนาในเอเชียและหลายประเทศทั่วโลกเพื่อรับมือกับปัญหาวิกฤตของโลก เช่น การพึ่งพาเชื้อเพลิงฟอสซิล การใช้สารเคมีกำจัดศัตรูพืชที่ส่งผลต่อสุขภาพและสิ่งแวดล้อม และวิกฤตอาหาร

โดยการเลี้ยงปลาในนาข้าวอาศัยการเรียนรู้นิเวศเกษตรของแปลงนา ที่อิงอาศัยกันระหว่างข้าว สัตว์น้ำ และพืชพรรณต่างๆในระบบการทำนา

 

 

ข้าวได้ปุ๋ยจากมูลปลาและอาหารปลาที่หลงเหลือ ปลาได้อาศัยอาหารจากนาข้าว เช่น แมลงศัตรูข้าวที่อยู่ในระบบนิเวศนาข้าว แพลงค์ตอนต่างๆในน้ำ หรือวัชพืชในนา เป็นต้น

ระบบนี้ตอบสนองต่อความมั่นคงทางอาหาร เพราะผลิตได้ทั้งข้าวซึ่งเป็นคาร์โบไฮเดรตหลักของชาวเอเชีย และได้ทั้งปลาซึ่งเป็นโปรตีนชั้นยอด และพืชผักที่อยู่ในระบบนิเวศนาข้าวนานาชนิด อุดมด้วยคุณค่าทางโภชนาการและปลอดภัยกว่า อาหารที่ผลิตจากระบบเกษตรกรรมแบบเคมี

การศึกษาของ FAO ในประเทศจีนพบว่า แทนที่ผลผลิตข้าวจะลดลงแต่กลับเพิ่มขึ้นเฉลี่ย 10% ในขณะที่ผลผลิตข้าวที่เลี้ยงปลาในนาข้าวของอินโดนีเซียเพิ่มขึ้น 10-20% ไม่รวมผลผลิตจากปลา 192-260 กิโลกรัม/ไร่

จีนภูมิใจกับมรดกทางวัฒนธรรมเกษตรนี้มาก โดยได้ยื่นขึ้นทะเบียนเป็น “Globally Important Agricultural Heritage System” แล้ว พร้อมกับส่งเสริมให้มีการท่องเที่ยวเชิงนิเวศในพื้นที่นิเวศวัฒนธรรมนี้ไปพร้อมๆกัน เท่ากับยิงปืนครั้งเดียวได้นก 3-4 ตัวไปพร้อมกัน

การศึกษาในประเทศจีนพบว่าแทนที่ผลผลิตข้าวจะลดลงแต่กลับเพิ่มขึ้นเฉลี่ย 10% ในขณะที่ผลผลิตข้าวที่เลี้ยงปลาในนาข้าวของอินโดนีเซียเพิ่มขึ้น 10-20% ไม่รวมผลผลิตจากปลา 192-260 กิโลกรัม/ไร่ หากคิดราคาปลานิลกิโลกรัมละ 50 บาท เท่ากับชาวนาหลายล้านคนใน 2 ประเทศนี้จะมีรายได้เพิ่มขึ้นมากถึง 11,300 บาท/ไร่ (เฉพาะรายได้จากปลาอย่างเดียว) ไม่นับผักและอาหารธรรมชาติที่ได้ฟรีๆจากแปลงนา

ในบริบทของประเทศไทย ระบบเกษตรที่เรียบง่ายแต่แฝงความสัมพันธ์ทางนิเวศวิทยาที่ซับซ้อนนี้ มีความสำคัญหลายประการ

1) การเลี้ยงปลาในนาข้าวในเขตน้ำน้อย เป็นอุบายในการสร้างสระเก็บน้ำและระบบชลประทานในระดับไร่นา ซึ่งเป็นการเพิ่มประสิทธิภาพของพื้นที่เกษตรในนาน้ำฝน ในขณะเดียวกันก็เหมาะกับในพื้นที่น้ำท่วม หรือพื้นที่ชลประทานที่จะสามารถใช้ประโยชน์จากน้ำในการเลี้ยงปลาไปพร้อมกับการทำนา

2) เป็นรูปแบบที่ตอบสนองต่ออาหารขั้นพื้นฐาน คือคาร์โบไฮเดรตจากข้าว โปรตีนจากปลา และได้พืชผักต่างๆเป็นผลพลอยได้จากระบบนิเวศนาที่อุดสมบูรณ์ไปพร้อมกัน

3) เป็นระบบการผลิตที่ปลอดภัยจากสารเคมีกำจัดศัตรูพืช เกษตรกรไม่มีโอกาสสัมผัสสารเคมีกำจัดวัชพืช และผู้บริโภคไม่เสี่ยงจากการได้รับสารเคมีตกค้างในอาหาร

4) ได้ผลผลิตทั้งข้าวและปลาในพื้นที่นาแปลงเดียวกัน มิหนำซ้ำผลผลิตจากข้าวยังเพิ่มขึ้นด้วย

5) ยืดหยุ่นต่อภาวะผันผวนของราคาสินค้าเกษตร เช่น เมื่อราคาข้าวตกต่ำ ก็ได้รายได้จากปลาแทน เช่น หากข้าวราคาต่ำมากๆ เกษตรกรบางรายอาจเปลี่ยนข้าวเปลือกจากนาเป็นอาหารให้ปลาไปเลยก็ได้

6) การเลี้ยงปลาในนาข้าวยังเป็นจุดเริ่มต้นของการพัฒนารูปแบบเกษตรกรรมผสมผสานอื่นๆได้ด้วยในอนาคต เช่น การพัฒนาบางส่วนเป็นสวนยกร่อง ปลูกไม้ผล เป็นต้น

7) ในเชิงกลยุทธ พื้นที่ทำนาคิดเป็นครึ่งหนึ่งของพื้นที่การเกษตรทั้งหมด การปรับเปลี่ยนผืนนาเชิงเดี่ยวให้เป็นการเลี้ยงปลาในนาข้าว หากทำสำเร็จ เท่ากับเปลี่ยนพื้นที่การเกษตรส่วนใหญ่ของประเทศไปสู่เกษตรกรรมที่ยั่งยืนนั่นเอง

อย่างไรก็ตาม สิ่งที่ท้าทายสำคัญคือ ระบบเกษตรกรรมเช่นนี้ต้องมีการใช้แรงงานเพิ่มขึ้น ใช้เวลาในไร่นามากขึ้น ลงทุนเพิ่ม หรือต้องปรับเปลี่ยนพื้นที่เกษตร เป็นต้น

งบประมาณด้านชลประทานมหาศาลปีละหลายหมื่นล้าน หากสามารถปรับเปลี่ยนเพื่อสร้างระบบการเก็บกักน้ำในเขตนาน้ำฝน หรือการจัดการพื้นที่และระบบชลประทานเพื่อให้เหมาะสมกับการเลี้ยงปลาในนาข้าว แทนที่จะมุ่งสร้างแหล่งเก็บน้ำและชลประทานขนาดใหญ่เพื่อตอบสนองต่อการผลิตเชิงเดี่ยวดังที่เป็นอยู่ ระบบเกษตรกรรมของประเทศไทยอาจปรับเปลี่ยนไปสู่ระบบเกษตรกรรมที่ยั่งยืนได้มากกว่านี้.

ที่มา: นิเวศเกษตร

ข่าวอื่นที่น่าสนใจ:

นักวิจัยจาก NCKU ได้พัฒนาแนวทางใหม่ในการกู้คืนพลังงานจากแบตเตอรี่ที่ใช้แล้ว
https://www.thaiquote.org/content/247853

ม.มหิดล พัฒนาเครื่องกำจัดขยะอินทรีย์จากวัสดุเหลือทิ้ง สู้วิกฤติ COVID-19 และอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม
https://www.thaiquote.org/content/247866

หุ่นยนต์ ผู้น่ารักและอ่อนโยน วิ่งส่งของ และรู้จัก “ขอบคุณ” เมื่อคุณช่วยเหลือเขา
https://www.thaiquote.org/content/247829